รู้จัก “รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม” โรคที่ทำให้เกิดอัมพาตหน้าครึ่งซีก

0

ทำเอาเหล่า Belieber ช็อกไม่น้อย หลังจากที่นักร้องดัง จัสติน บีเบอร์ ประกาศเลื่อนทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก โดยเจ้าตัวโพสต์คลิปผ่านทางไอจีว่า ตนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “แรมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม” ทำให้ใบหน้าซีกขวาเป็นอัมพาต เชื่อว่าหลายคนไม่คุ้นกับโรคนี้ อย่าเพิ่งปล่อยผ่าน เพราะโรคนี้พบได้ทุกช่วงวัยและใกล้ตัวกว่าที่คิด

รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม (Ramsay Hunt Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจาก Varizella Zoster Virus ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดอาการของโรคอีสุกอีใส รวมถึงโรคงูสวัด ซึ่งคนที่เคยเป็นโรคนี้แล้วตัวไวรัสอาจจะยังอยู่ในร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดโรคได้หลายปี แต่เมื่อก่อโรคก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ทำให้เกิดโรค

อาการของโรคจะเริ่มต้นจากอาการอักเสบทั่วไป ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะที่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อน ในตำแหน่งบริเวณใบหูของข้างที่เกิดอาการ หรืออาจจะมีไข้ต่ำ ๆ รู้สึกไม่สบายตัวร่วมด้วยได้ หลังจากนั้นจะพบตุ่มน้ำใส ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไวรัสขนิดนี้ เกิดขึ้นที่บริเวณใบหู โดยตุ่มน้ำจะทำให้รู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ หรือแสบร้อนมากกว่าตุ่มคันทั่ว ๆ ไป การอักเสบติดเชื้อดังกล่าวจะทำให้เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งทำหน้าที่ในการเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้า หูชั้นใน และการรับรสบางส่วนเกิดการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอัมพาตของใบหน้าครึ่งซีก หลับตาไม่สนิท ทำให้มีอาการเคืองตาแสบตา

การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตทำให้การพูด การออกเสียง การดื่มน้ำ และรับประทานอาหารมีปัญหา อาการจะคล้ายกับอาการเส้นประสาทใบหน้าอักเสบชนิด Bell’s Palsy ซึ่งเป็นการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เช่นกัน แต่มักจะไม่พบสาเหตุชัดเจน และไม่มีอาการของผื่นหรือตุ่มน้ำใส เนื่องจากอาการอัมพาตของใบหน้าที่เกิดขึ้นเพียงครึ่งซีก ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นในวันนั้นหรือข้ามวัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ได้สังเกตอาการตอนเริ่มต้น ทำให้เข้าใจว่าอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด

ทั้งนี้ แพทย์วินิจฉัยจากการซักประวัติ ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ร่วมกับการรักษาตามอาการ และการทำกายภาพบำบัด ซึ่งในกรณีที่มีการอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า อาจจะใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูจนกลับมาใกล้เคียงกับปกติประมาณ 3 เดือน ขึ้นกับระดับความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้น และขึ้นกับความสามารถของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อในการฟื้นตัวด้วย  อย่างไรก็ตาม ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งเบี้ยว จะต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส และต้องรีบรักษาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการ เพราะการรักษาตั้งแต่แรก ๆ จะทำให้ได้รับผลการรักษาที่ดีกว่า

รัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม มักไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่เชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทใต้ผิวหนัง และแฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีถึง 10 ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ อย่างไรก็ตาม โรคที่เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และทำให้เกิดอาการอัมพาตครึ่งซีกของใบหน้า สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย แม้ไม่ได้มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงใด จึงไม่มีแนวทางหรือวิธีในการป้องกันการเกิดโรคที่ชัดเจน การป้องกันจึงมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพโดยรวม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ห่างไกลความเครียด

อีกสิ่งที่ควรทำไม่ว่าจะสงสัยว่าเป็นรัมเซย์ ฮันต์ ซินโดรม รวมถึงโรคอื่น ๆ คือ เมื่อพบว่ามีความผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผลของการรักษาและการฟื้นฟูนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *