ทาครีมกันแดด 2 ข้อนิ้ว เรื่องจริงหรือแค่เป็นกระแส?

0

เรียกว่ามาแรงมาเลยทีเดียว สำหรับกระแส “ทากันแดด 2 ข้อนิ้ว” จึงเกิดเป็นที่มาของบทความนี้ที่เรานำมาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ แน่นอนว่า “กันแดด” เป็นสิ่งจำเป็น ‘สำหรับคนที่มีความกังวลเรื่องริ้วรอย’ แต่สำหรับคนที่ไม่กังวลเรื่องนี้ สดสวยต้องบอกว่าก็ยังคงจำเป็นอยู่นะคะ เพราะแสง UV ตัวร้ายนั้นส่งผลในแง่อื่นๆ ต่อผิวหนังซึ่งผลเสียไม่คุ้มค่ะ

แล้วต้องทาเท่าไหร่ล่ะ ถึงจะได้ผล?

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้จากการศึกษาในปี 2016 เชื่อมโยงประวัติการถูกแดดเผาอย่างรุนแรงกับโอกาสที่มากขึ้นในการเป็นมะเร็งผิวหนังในภายหลัง โดยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการปกป้องผิวของคุณคือ การใช้ครีมกันแดดในวงกว้างซึ่งป้องกันรังสี UVA และ UVB ตามข้อมูลจากมูลนิธิมะเร็งผิวหนัง1

Erum N. Ilyas แพทย์ผิวหนังที่ผ่านการรับรอง และ CEO และผู้ก่อตั้งแบรนด์เสื้อผ้าที่กันแดดได้ AmberNoon กล่าวว่า “เราสามารถปกป้องสิ่งต่างๆ จากการสร้างขึ้นที่สามารถเพิ่มริ้วรอยก่อนวัยและความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังได้”2 อย่างไรก็ดี คุณหมอกล่าวว่าการใช้ครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายจากแสงแดด

ทาครีมกันแดดราว 30 กรัมให้ทั่วร่างกาย ย้ำนะคะว่า “ทั่วร่างกาย” รวมถึงใบหน้าด้วย (เพราะ 30 กรัม บางครั้งคือหมดหลอด อย่าเพิ่งตกใจค่ะ อันนี้รวมส่วนที่สำหรับทาตัวด้วย) ทั้งนี้สำหรับใบหน้านั้นจะใช้ราวๆ 4% ของปริมาณทั้งหมดค่ะ หรือประมาณ 2-3 กรัม

แล้ววัดยังไงอะ 2-3 กรัมที่ว่านี่?

วัดโดยช้อนชา

ช้อนตวงไม่ได้มีไว้สำหรับทำอาหารเท่านั้น คุณยังสามารถใช้มันเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม แนะนำที่ประมาณ 1 ใน 3 ช้อนชา

วัดด้วยนิ้ว

คุณอาจไม่ได้พกหลอดวัดฉีดยาหรือช้อนตวงไว้ในกระเป๋าไปไหนมาไหน แต่คุณสามารถวัดปริมาณครีมกันแดดที่คุณใช้กับใบหน้าได้โดยใช้นิ้วมือ หน่วยปลายนิ้วคือหน่วยที่ใช้เป็นหน่วยวัดได้นะ นั่นคือเมื่อคุณดูที่รอยพับแรกที่ปลายนิ้วของคุณจนถึงข้อที่ 2 นั่นแหละ ถูกต้อง และคือที่มาของเทรนด์ในตอนนี้เลย

วัดโดยเหรียญ

ลองเอาเหรียญ 10 มาวาง แล้วบีบครีมกันแดดของเพื่อนๆ ให้ได้ปริมาณเท่านั้น ก็ช่วยบอกปริมาณได้ดีอีกวิธีหนึ่งเลยนะ

เอาล่ะค่ะ นี่คือที่มาที่ไปของ การทากันแดด 2 ข้อนิ้ว และหากไม่ใช่นิ้ว จะใช้อะไรวัดได้บ้าง ก็ลองไปทำดูกันนะคะ อย่างไรก็ดี การทาครีมกันแดดอย่าลืมทาคอด้วย ไม่ได้เรื่องล้อเล่นนะคะ แต่มีความเป็นไปได้ว่าหลายคนมีเฉดสีของหน้าและคอต่างกันจากสาเหตุนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *