หลายคนคงคุ้นเคยกับปัญหาเรื่อง “รอยแผลเป็น” เพราะด้วยไลฟ์สไตล์, การผ่าตัด, อุบัติเหตุ หรือสาเหตุต่างๆ ที่เป็นที่มาของแผลเป็น แต่รู้หรือไม่ว่าแผลเป็นนั้นแบ่งออกเป็นหลายเภท (อ้างอิงจากบทความของ ผศ.นพ.สรวุฒิ ชูอ่องสกุล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)
ชนิดของแผลเป็น 3 ประเภทแบ่งตามความผิดปกติ แต่ทั้งสามแบบนี้จะมีสีซีดหรือเข้มกว่าผิวก็ได้
1. แผลเป็นที่มีลักษณโตนูน 2 แบบ คือแบบนูนเกิน ช่วงแรกจะนูน แดง และทำให้คัน แต่จไม่นูนเกินแผลเดิมที่มี กับแบบคีลอยด์ ตรงกันข้ามกับแบบแรก มีลักษณะ โต นูน และเกินขอบเขตของแผลเดิม
2. แผลเป็นลึกและบุ๋ม มีลักษณะเป็นร่องลงไปในผิว
3. แผลเป็นที่หดรั้ง ทำให้ดึงรั้งแผลบนผิวทำให้ผิดรูป
แล้วจะรักษาได้อย่างไร?
ก่อนอื่นต้องรู้ว่าแผลเป็นของเราเป็นประเภทไหน มีอาการอย่างไร ถึงจะเลือกการรักษาได้ถูกวิธี
ซึ่งวิธีการรักษาแผลเป็นมีดังนี้
- วิธีปิดด้วยแผ่นซิลิโคนเป็นเจลใส โดยจะปิดไว้ประมาณ 3 เดือนตลอดวัน หลังจากแผลหายดีแล้ว จะช่วยลดอาการอักเสบของแผลและทำให้ผิวหนังใต้แผ่นซิลิโคนชุ่มชื้น
- วิธีใช้แผ่นเทปเหนียว ในกรณีที่ไม่สะดวกใช้ซิลิโคน จะช่วยให้ผิวหนังเมื่อปิดเทปลงไปแล้วชุ่มชื้นเช่นกัน และอักเสบน้อยลงกว่าเดิม
- วิธีฉีดยาเสตียรอยด์ เพื่อช่วยลดการเกิดแผลเป็นแบบคีลอยด์ โดยฉีดตรงเข้าบาดแผล เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นไม่เกิน 1 ปี จำนวนหรือความถี่ในการฉีดขึ้นกับแผลเป็นของแต่ละคน
- วิธีผ่าตัด คือการนำแผลเป็นหรือลดขนาดออกลงบางส่วน ด้วยการเย็บปิด เพื่อให้แผลใหม่ที่จะเกิดขึ้นมาใกล้เคียงกับรอยย่นบนผิวหนังมากที่สุด ซึ่งอาจจะรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆ ข้างต้นด้วยก็ได้ หรืออาจจะเป็นวิธีกรอผิวหนังเพื่อปรับให้ผิวเรียบเนียนขึ้น มักใช้กับพวกประเภทแผลเป็นจากสิวหรือสุกใส
- อีกวิธีหนึ่งคือการดูแลผิวเบื้องต้นด้วยตัวเองหากยังไม่ต้องการพบแพทย์ ผลิตภัณธ์ที่ดูแลแผลเป็น แผลผ่าตัดหรือคีลอยด์ อย่าง ฮีรูสการ์ ซิลิโคนโปร (Hiruscar Silicone Pro) ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มแผลหายสนิทดีแล้วและเริ่มเป็นแผลเป็นใหม่ๆ ในช่วง 3 เดือนแรก เพราะมีคุณสมบัติเหมือนเนื้อเจลบางเบาที่ทำหน้าที่แบบฟิล์มเคลือบ
ควรทาเป็นประจำเช้า-เย็นประมาณ 2 เดือนขึ้นไปแบบต่อเนื่องหรือนานกว่านั้น เผื่อให้รอยแผลเป็นของคุณดูดีขึ้น และลดรอยที่จะเกิดขึ้นนั่นเองค่ะ