คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักต้องการจะคลอดเองตามธรรมชาติ เพราะเชื่อกันว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย (ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป) แต่แม้ว่าบางคนจะอยากคลอดเองแต่หากร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็จำเป็นที่จะต้องใช้การผ่าคลอด เข้ามาช่วย ส่วนกรณีใดบ้างที่คุณแม่ท้องต้องใช้วิธีผ่าคลอดสถานเดียว เรามีคำตอบค่ะ
10 ข้อที่บ่งชี้ว่าคุณแม่ท้องต้องผ่าคลอด
- ทารกในครรภ์มีส่วนนำที่ไม่ใช่ศีรษะ เช่น ทารกอยู่ในท่าหันก้นลง ท่าขวาง หรือท่าเอียง
- คุณแม่ที่ตั้งครรภ์แฝด เพราะจะมีความปลอดภัยมากกว่า โดยเฉพาะกรณีที่เป็นแฝดตั้งแต่สามคนขึ้นไป
- มีรกเกาะต่ำ คือเกาะที่ด้านล่างของมดลูก ใกล้กับบริเวณปากมดลูก
- อุ้งเชิงกรานของคุณแม่ไม่ขยาย ทำให้ทารกไม่สามารถที่จะดันตัวออกมาทางช่องคลอดได้
- คุณแม่ป่วยด้วยโรคติดต่อที่เป็นอันตรายต่อลูก เช่น โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคหูดหงอนไก่ หากคลอดด้วยวิธีธรรมชาติทารกอาจเกิดการติดเชื้อที่ช่องทางคลอดของคุณแม่ได้
- คุณแม่มีความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงหรือมีความเจ็บป่วยอื่น เช่น ครรภ์เป็นพิษ
- คุณแม่มีเนื้องอกในอุ้งเชิงกรานที่ขัดขวางการคลอดทางช่องคลอด เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกรังไข่
- ทารกตัวโตหรือศีรษะทารกมีขนาดใหญ่กว่าอุ้งเชิงกราน
- มีภาวะสายสะดือย้อย คือเมื่อสายสะดืออยู่ต่ำทำให้คลอดได้ยาก
- ทารกมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องนำเด็กออกจากครรภ์โดยเร็ว
ปัจจุบันคุณแม่ตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยเลือกใช้วิธีการผ่าคลอด เนื่องจากค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคุณแม่ รวมถึงคุณลูกที่มีความเสี่ยงในการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ อีกทั้งคุณแม่ยังสามารถเลือกวัน เวลา และการใช้ยาสลบได้ ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยว่า จะใช้คลอดด้วยวิธีใด หรือจะต้องใช้วิธีการใดในการผ่าคลอด
เพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่น คุณแม่ควรเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือของใช้จำเป็นต่างๆ หลังผ่าตัด เช่น ผ้ารัดหน้าท้อง หมอน เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดหลังผ่า นอกจากนี้สำหรับคุณแม่ที่รักสวยรักงามอย่าลืมเตรียมผลิตภัณฑ์ดูแลแผลหลังผ่าตัด เช่น Hiruscar Silicone Pro โดยเริ่มใช้ทันที เมื่อแผลหายและปิดสนิทดีแล้ว เพื่อช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น รวมถึงทำให้แผลเป็นอ่อนนุ่มขึ้นและสีจางลง
เลิกนอยด์หรือกลัวเกี่ยวกับการผ่าคลอดได้แล้วนะคะ จะคลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอดก็ปลอดภัยไม่ต่างกันหากเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณแม่ท้องค่ะ