“โรคหัด” ภัยสุขภาพที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

0

แม้จะฟินกับสายลมเย็นๆ ที่เป็นสัญญาณบอกว่าเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่อย่ามัวดี๊ด๊าจนลืมดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพราะเพราะอากาศที่เย็นสบายเป็นตัวการชั้นดีในการกระจายของไวรัส จึงต้องระวังโรคที่มากับฤดูหนาว ซึ่งหนึ่งในโรคฮิตที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “โรคหัด

โรคหัด (Measles)

เป็นโรคไข้ออกผื่น (exanthematous fever) ที่พบบ่อยในเด็กเล็ก แม้ว่าในปัจจุบันอัตราการเกิดของโรคนี้จะไม่สูงมาก แต่ก็เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งหากไม่เคยได้รับวัคซีนก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อจากผู้ป่วยได้ง่าย รวมถึงอาจมีโรคแทรกซ้อนทำให้ถึงเสียชีวิตได้

Measles

โรคหัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่ารูบีโอราไวรัส (rubeola virus) ที่น่ากลัวก็คือ…

“โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด เชื้อไวรัสจะกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และเข้าสู่ร่างกายโดยทางการหายใจ บางครั้งเชื้ออยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเอาละอองที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไปก็ทำให้เป็นโรคได้ ผู้ติดเชื้อจะเป็นโรคเกือบทุกราย”

อาการของโรคหัดแบ่งออกเป็น 2 ระยะ

  1. ระยะก่อนออกผื่น เริ่มต้นด้วยมีไข้สูง ต่อมามีน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ตาแดง ตาแฉะกลัวแสงส่วนอาการอื่นๆ ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดตามตัว เบื่ออาหาร อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ 2-4 วัน ก่อนที่จะออกผื่น 1-2 วัน สังเกตให้ดี จะเห็นจุดขาวๆ เล็กๆ มีขอบสีแดง อยู่ภายในกระพุ้งแก้ม ส่วนบริเวณติดฟันกราม เรียกว่า ตุ่มโคปลิค (Koplik spots) เป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัด เมื่อผื่นขึ้นแล้ว จุดเหล่านี้จะหายไป
  2. ระยะออกผื่น จะเริ่มขึ้นบริเวณใบหน้าชิดขอบผม หลังใบหู ก่อนที่จะกระจายไปตามลำตัว แขนขา ลักษณะผื่นเป็นแบบนูนแดง อาจติดกันเป็นปื้นๆใหญ่ เป็นผื่นแบบไม่คัน เมื่อผื่นขึ้นมา 2-3 วัน ไข้ก็จะเริ่มลดลง ผื่นในระยะแรกมีสีแดง ต่อมามีสีเข้มขึ้นเป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง ซึ่งคงอยู่นาน 5-6 วัน กว่าจะจางหายไปหมด กินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ บางครั้งจะพบผิวหนังลอกเป็นขุยได้

ในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ ผื่นจะมีจำนวนมาก และขนาดใหญ่กว่าในเด็ก และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัด และการติดเชื้อแทรกซ้อนจากแบคทีเรียมากกว่าในเด็กนอกจากนี้ผู้ที่ขาดวิตามินเอ หรือผู้ป่วยโรคเอดส์จะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป

โดยผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิตโรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคเพียงครั้งเดียวในช่วงที่เด็กมีอายุ 9-12 เดือนซึ่งวัคซีนป้องกันนี้ที่มีประสิทธิภาพสูงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *