ผิวหนังของคนเราจัดเป็นด่านแรกที่จะทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อใดที่มีปัจจัยให้ผิวหนังของเราอ่อนแอลง หรือความสมดุลของเชื้อประจำถิ่นเสียไป จะทำให้เชื้อโรคสามารถผ่านเข้าสู่ผิวหนัง และก่อให้เกิดโรคการติดเชื้อที่ผิวหนังได้ โดยโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง จัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย
โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง แบ่งเป็น 5 กลุ่มโรคใหญ่ๆ เรียงตามความลึก และตำแหน่งของการอักเสบ ดังนี้
1. โรคพุพอง (Impetigo) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ตื้นที่สุดของผิวหนัง โรคนี้มักพบได้บ่อยในเด็ก ซึ่งอาจเป็นชนิดที่พบตุ่มน้ำร่วมหรือไม่พบก็ได้ อาการเริ่มแรก จะมาด้วยตุ่มสีแดงที่แถวใบหน้า หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มหนอง ระยะถัดมาตุ่มจะแตกออก และพบเป็นลักษณะรอยถลอกตื้น ๆ ที่มีสะเก็ดหนองสีเหลืองอมน้ำตาล คล้ายสีน้ำผึ้ง คลุมอยู่ด้านบน ในบางรายอาจจะมีอาการไข้หรือต่อมน้ำหลืองโตร่วมด้วยได้
2. โรครูขุมขนอักเสบ (Folliculitis), ฝี (Furuncle/ abscess) และ ฝีฝักบัว (Carbuncle) เริ่มต้นเป็นการอักเสบของรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง หรือตุ่มหนองขึ้นที่ตำแหน่งของรูขุมขน ตำแหน่งที่พบบ่อย เช่น ใบหน้า(แถวเครา), ศีรษะ, หน้าอก, หลัง, รักแร้, และแก้มก้น เป็นต้น ซึ่งถ้าการอักเสบรุนแรง และลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง อาจพบเป็นไตแข็ง ๆ ที่มีหนองสะสมอยู่ภายในที่เรียกว่า ฝี (Furuncle/abscess) และหากพบฝีหลาย ๆ อันอยู่รวมกลุ่มกันโดยมีช่องทางเชื่อมต่อกัน จะเรียกรอยโรคนี้ว่า ฝีฝักบัว (Carbuncle) ซึ่งเมื่อเป็นโรคในกลุ่มนี้แล้ว มักมีอาการไข้, อ่อนเพลีย, หรือต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ โรคในกลุ่มนี้หายช้า และมักจะทิ้งรอยแผลเป็น
3. โรคไฟลามทุ่ง (Erysipelas) เป็นการอักเสบที่ส่วนบนของผิวหนังชั้นแท้ ซึ่งอาการจะแสดงออกมาหลังได้รับเชื้อ 2 – 5 วัน โดยจะเริ่มด้วยอาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ในมีกี่ชั่วโมงถึงวันถัดมา จะพบอาการผื่นแดงเป็นปื้น บวม กดเจ็บ ที่มีลักษณะเป็นขอบเขตชัด และมีการลามของผื่นอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือ ขา รองลงมาคือ ใบหน้า มักพบร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต
4. โรคเนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เป็นการอักเสบที่ส่วนล่างของผิวหนังชั้นแท้จนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการไข้ หนาวสั่นและ อ่อนเพลีย ร่วมกับมีผื่นที่มีลักษณะบวม แดง ร้อน ขอบเขตไม่ชัดและมีอาการปวด ผื่นสามารถ ลามขยายขนาดออกกว้างขึ้นแต่ไม่เร็วเท่ากับโรคไฟลามทุ่ง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และกรวยไตอักเสบ เป็นต้น โดยในรายที่มีการอักเสบกลับมาเป็นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง อาจส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบท่อน้ำเหลืองทำให้ผู้ป่วยมีอาการขาบวมเรื้อรังได้
5. โรคแบคทีเรียกินเนื้อ หรือโรคเนื้อเน่า (necrotizing fasciitis) เป็นโรคที่ความรุนแรงสูงที่สุดในกลุ่มการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง มีอัตราการเสียชีวิต อยู่ระหว่างร้อยละ 20 – 60 เป็นการอักเสบรุนแรงในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และพังผืดที่คลุมกล้ามเนื้อ จนเกิดภาวะเนื้อตายตามมา ถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบมาพบแพทย์และให้การรักษาโดยเร็ว
ไม่อยากเสี่ยงป่วยด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง แนะนำให้หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ตรวจสอบเท้ารวมถึงผิวหนังของตัวเองอยู่เสมอ หากพบความผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา