บำรุงผมและเล็บด้วย “ไบโอติน” ต้องเริ่มต้นด้วยข้อมูลต่อไปนี้ก่อน!

0

ถ้าพูดถึงเรื่องความงาม “ผม เล็บ” เป็นจุดสำคัญที่หลายคนให้ความสนใจ โดยหนึ่งในวิตามินที่ถูกยกให้เป็นฮีโร่ด้านผมและเล็บก็คือ Biotin (ไบโอติน) เจ้าไบโอตินนี้เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลวิตามินบี หรือหลายคนท่องจำว่าคือ “วิตามินเอช” (Vitamin H) นั่นเอง ตามกระบวนการแล้วร่างกายต้องการไบโอตินเพื่อช่วยเปลี่ยนสารอาหารบางชนิดให้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในสุขภาพของเส้นผม ผิวหนังและเล็บ แน่นอนว่าหากเราได้รับไบโอตินไม่เพียงพอ อาการแรกที่ตามมาก่อนเลยคือ “ผมร่วง” บางคนก็ร้ายแรงจนถึงขั้นมีผื่นแดงเป็นสะเก็ด  นั่นเป็นกรณีที่ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก… เพราะส่วนใหญ่เรามักได้รับมันอย่างพอเพียงกับอาหารเพื่อสุขภาพที่เรากิน

อย่างไรก็ดี ไบโอติน เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พบบ่อยที่สุดในตลาด มันถูกเคลมว่าในแง่ความงามตามที่เรากล่าวข้างต้นจึงหลายเป็นไอเท็มเสริมสำหรับคนที่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผิวหนัง ผมร่วง ผมบางและเล็บที่ไม่แข็งแรง ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาที่พบว่า การเสริมไบโอตินช่วยให้กีบม้ามีสุขภาพที่ดีขึ้น1

แต่ตอนนี้ เนื่องจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของอาหารเสริม นักวิจัยพบว่าสามารถเปลี่ยนแปลงผลการทดสอบทางการแพทย์บางอย่างได้ การทบทวนใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Laboratory Medicine ได้ศึกษาผลการศึกษาหลายชิ้นที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 2012-2017 พบว่ามีการแทรกแซงไบโอตินในการทดสอบทางการแพทย์

ไบโอตินมักใช้เป็นตัวทำปฏิกิริยา ซึ่งเป็นสารประกอบที่ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้น ในการทดสอบทางการแพทย์ ผู้เขียนร่วมการศึกษา Dina N. Greene รองผู้อำนวยการฝ่ายเคมีที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันอธิบาย มันทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างแอนติบอดีกับสิ่งที่คุณพยายามตรวจจับ แต่นั่นไม่ดีเลยหากจะมีไบโอตินมากเกินไปในตัวอย่าง เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงการทดสองที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ได้2

ง่ายๆ เลยก็คือ เมื่อมีผลทดสอบเมื่อนานมาแล้วว่า ไบโอตินช่วยเรื่องกีบม้าแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้นจริง แต่เมื่อไบโอตินในงานวิจัยมากขึ้นตามปริมาณ มันอาจส่งผลในทางที่เปลี่ยนไป นั่นหมายความว่า หากเราเสริมไบโอตินเกินความจำเป็นมันอาจส่งผลเสียได้เช่นเดียวกัน

“ไบโอติน” กับปริมาณที่แนะนำต่อวัน

การขาดไบโอตินนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้น RDA หรือ ปริมาณที่แนะนำต่อวัน อาจแตกต่างกันไปตามอายุ เพศ และสุขภาพโดยรวมของแต่ละคนด้วยเช่นเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแนวทางการใช้ยาว่า ผู้ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไปควรได้รับระหว่าง 30 ถึง 100 ไมโครกรัม (mcg) ต่อวัน ทารกและเด็กควรได้รับตามเงื่อนไขช่วงปี ดังนี้

  • แรกเกิดถึง 3 ปี : 10 ถึง 20 mcg
  • อายุ 4 ถึง 6 ปี : 25 mcg
  • อายุ 7 ถึง 10 ปี : 30 mcg
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอาจต้องการไบโอตินในระดับที่สูงขึ้น

แต่ก่อนที่คุณจะเทคยาหรือวิตามินใดๆ ในโลกใบนี้ ให้พูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับการบริโภคประจำวันที่เหมาะสมสำหรับคุณโดยเฉพาะด้วย เพราะมันจะปลอดภัยกว่าและจะได้ประโยชน์สูงสุดด้วย

อ้างอิง 1, Link: https://pubchem.ncbi.nlm.nih.gov/compound/biotin#section=Therapeutic-Uses

อ้างอิง 2, Link: http://jalm.aaccjnls.org/content/early/2017/12/06/jalm.2017.024257

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *