การสร้างสุขนิสัยที่ดีในการดูแลช่องปากให้ลูกตั้งแต่เด็กถือเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะเด็กวัยซน เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงชุดฟันในช่องปากจากฟันน้ำนมเป็นฟันถาวร หากปล่อยปละละเลยไม่ดูแลอาจทำให้ลูกสูญเสียฟันถาวรตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบบดเคี้ยวตลอดชีวิต
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า
การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปากเด็กวัยเรียน โดยเฉพาะเด็กประถมฯ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นช่วงวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงชุดฟันเป็นฟันถาวร ซึ่งฟันที่เริ่มขึ้นจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ เนื่องจากการสะสมแร่ธาตุที่ผิวฟันยังไม่สมบูรณ์ และเด็กยังไม่สามารถแปรงฟันได้ถูกวิธี รวมทั้งมีพฤติกรรม เช่น ดื่มน้ำอัดลม กินขนมกรุบกรอบ
ปัญหาโรคฟันผุของเด็กวัยนี้จึงส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของร่างกาย และความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กอย่างมาก นอกจากนี้อาจเกิดปัญหาอุบัติเหตุต่อฟันและเนื้อเยื่อในช่องปากได้บ่อย จากการที่เด็กเล่นกีฬาและออกกำลังกายกลางแจ้ง โดยขาดความระมัดระวัง
ปัญหาสุขภาพในช่องปากของเด็กวัยเรียน เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลกระทบต่อภาวะการเจริญเติบโต จึงควรเสริมสร้างและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อให้เด็กเกิดความเคยชินและเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัวไปตลอดชีวิต โดยสร้างสุขนิสัยที่ดีในการดูแลสุขภาพช่องปาก ด้วยการแปรงฟันและบริโภคอาหารที่เหมาะสม
5 เทคนิคสร้างสุขนิสัยที่ดีในการดูแลสุขภาพช่องปากให้เด็ก
- ใส่ใจเรื่องการกินของลูก โดยให้บริโภคอาหารหลัก 3 มื้อ โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า ไม่รับประทานจุบจิบ 2. หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการกินขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม ลูกอม เพราะทำให้เกิดฟันผุได้
- ให้ลูกแปรงฟันทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่มหรือนุ่มพิเศษ เพื่อไม่ทำอันตรายต่อเหงือกและฟัน ซึ่งการแปรงฟันต้องแปรงให้สะอาดทั่วถึง แปรงฟันทุกซี่ ทุกด้าน เน้นขอบเหงือก คอฟัน เพื่อให้ฟลูออไรด์มีผลในการป้องกันฟันผุ
- ฝึกให้ลูกตรวจฟันตนเองเพื่อให้ทราบว่าแปรงฟันสะอาดดีหรือยัง มีฟันผุหรือเหงือกอักเสบ หรือมีสิ่งผิดปกติในช่องปาก
- หากพบปัญหาสุขภาพช่องปากของลูกให้รีบพาไปพบทันตแพทย์เพื่อแก้ไขได้ทันเวลา
การสูญเสียฟันถาวรตั้งแต่วัยเด็กจะส่งผลต่อระบบบดเคี้ยวตลอดชีวิต หากไม่ดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี ปัญหาจะสะสมและรุนแรงเพิ่มขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยทำงานและวัยสูงอายุ