ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว สำหรับ “โรคไบโพลาร์” ที่ปัจจุบันมีคนทั่วโลกเป็นโรคนี้กว่า 60 ล้านคน โดยโรคไบโพลาร์จะเริ่มแสดงอาการเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แต่คนไม่รู้ และคิดว่าเป็นเพียงอารมณ์แปรปรวนตามประสาวัยรุ่น ทำให้เสียโอกาสในการรักษาช้าเฉลี่ยประมาณ 11 ปี ไม่อยากพลาดทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกัน! ข้อมูลจาก ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ระบุว่า
ผู้ป่วยไบโพลาร์บางรายอาการรุนแรง ซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตาย ซึ่งจากสถิติพบว่าคนไข้ 1 ใน 5 สามารถฆ่าตัวตายได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาและการดูแลสภาพจิตใจ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกับครอบครัว แต่ก็สามารถเป็นซ้ำได้จากปัจจัยกระตุ้น อาทิ เรื่องสะเทือนใจ เหตุการณ์พลิกผันในชีวิต หรือ ภาวะความเครียดรุมเร้า หรือการใช้สารเสพติด
ด้าน รศ.นพ. ชวนันท์ ชาญศิลป์ นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า พันธุกรรมไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดโรคไบโพลาร์ แต่ยังมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ อีก เช่น สิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู ที่ส่งผลให้เด็กเกิดความเครียด และอารมณ์แปรปรวนผิดปกติ คือ มีอารมณ์เศร้า หรือรื่นเริง สนุกสนานผิดปกติ
ช่วงแรกจะมีอารมณ์ซึมเศร้า ติดกันนาน 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน มีอาการทั้งเศร้า หดหู่ ร้องไห้ง่าย เบื่ออาหาร รู้สึกชีวิตไม่มีคุณค่า มองตัวเองในแง่ลบ คิดฆ่าตัวตาย ส่วนอารมณ์รื่นเริง ก็จะเป็นติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน รวมถึงอาการมีความสุขมาก คึกคัก มั่นใจ ขาดความยับยั่งชั่งใจ หากมีการห้ามปรามก็จะรู้สึกหงุดหงิด ฉุนเฉียว
ปัจจุบันพบอายุของผู้ป่วยไบโพลาร์เฉลี่ยน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมพบเฉพาะในผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไบโพลาร์จะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม แต่ก็ไม่สามารถตรวจเจอได้ขณะตั้งครรภ์ และเป็นเรื่องยากมากที่จะวินิจฉัยได้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบ เพราะอารมณ์ของเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม วิธีการสังเกตตัวเอง คือ แน่นอนว่าคนเราย่อมมีช่วงที่อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี แต่ถ้ามีอารมณ์เหล่านั้นแบบรุนแรงมาก เช่น ทำร้ายตัวเอง หลุดโลก หูแว่วประสาทหลอน ต้องไปพบแพทย์ หรือมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของตัวเองจนทำงานไม่ได้ หรือมีผลกระทบกับคนรอบข้างมากๆ ต้องไป
หากพบว่าอารมณ์ตัวเองรุนแรงจนเกินปกติต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยยาและการปรับสภาพจิตใจที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคนในครอบครัวและคนใกล้ชิด เมื่อรักษาเร็วก็สามารถหายได้