ภูมิคุ้มกันในร่างกายคนเราช่วยต่อต้านเชื้อโรคแต่หากภูมิต้านทานได้รับสารกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้หรือแอนติเจน(Antigen) ผิดปกติก็จะทำให้คนนั้นเป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันซึ่งโรคที่พบบ่อยคือ
“ภูมิแพ้”
โรคภูมิแพ้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ไวผิดปกติ อาการมักเกิดกับอวัยวะที่ไวต่อสารกระตุ้น ซึ่งได้แก่
- โพรงจมูกเรียกว่าโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
- ดวงตาเรียกว่า โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้
- ผิวหนังเรียกว่าโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
โรคภูมิแพ้อย่างหนึ่งอาจถ่ายทอดจากพันธุกรรมหากร่วมกับการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ปริมาณมากและเป็นเวลานานก็จะแสดงอาการแต่กระนั้นอาการจะลดลงเมื่อลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ หรือเมื่อภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
อีกวิธีที่นิยมใช้เพื่อรักษาอาการภูมิแพ้กันนั่นก็คือ “การฝังเข็ม” ซึ่งมีผลการศึกษาทดลองรักษามากมาย ในต่างประเทศตลอดจนในประเทศไทย องค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ก็ได้ประกาศรับรองผลการรักษาโรคนี้ด้วยการฝังเข็มมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522
การฝังเข็มจะช่วยลดความไวของปฏิกิริยาร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งหากปฏิกิริยาของร่างกายมีความไวน้อยลงก็จะทำให้อาการภูมิแพ้ลดลงหรือหายไปและทำให้ผู้ป่วยทนต่อสารก่อภูมิแพ้ได้มากขึ้นเนื่องจากไปลดปริมาณไอจีอีแอนติบอดี (IgE Sntibody)
นอกจากนี้การฝังเข็มมีผลต่อระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายแสงหรือเคมีบำบัดซึ่งโดยทั่วไปจะมีผลข้างเคียง เช่น ปริมาณเม็ดเลือดขาวลดลง แต่ในผู้ป่วยกลุ่มที่ฝังเข็มก่อนเข้ารับการรักษา สามารถป้องกันการลดลงของปริมาณเม็ดเลือดขาวได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝังเข็ม
จากบทความ รักษาโรคภูมิแพ้ด้วยการฝังเข็ม โดย Doctor-World อธิบายถึงวิธีการรักษาไว้ว่า
“แพทย์จะใช้เข็มเล็กๆปักจุดบริเวณรอบจมูกและแขนขา แล้วทำการกระตุ้นประมาณ 20 นาที โดยทั่วไปจะทำการรักษาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ10 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อฝังเข็มไปประมาณ 5 ครั้ง จะเห็นผลการรักษาได้อย่างชัดเจน โดยที่ผู้ป่วยจะจาม คัดจมูกน้อยลง บางคนสามารถลดปริมาณยาที่รับประทานลงไปได้กระทั่งไม่ได้รับประทานยาเลยก็มี”
ฉะนั้นหากใช้การฝังเข็มร่วมกับการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันก็จะช่วยลดผลข้างเคียงของการรักษาและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น