พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บที่มาพร้อม “ตัวไรอ่อน” ผู้อ่านหลายคนคงส่ายหน้า ด้วยไม่รู้จักและคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าเรากำลังจะบอกคุณว่าโรคนี้มักเกิดกับเหล่านักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางไปสัมผัสกับอากาศเย็นตามสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น บนยอดดอย ตามป่าเขา ฯลฯ ฮั่นแน่! ชักใกล้ตัวขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ…
“โรคสครับไทฟัส” (Scrub typhus)
เป็นโรคที่มีตัวไรอ่อนซึ่งอาศัยอยู่ในหนูเป็นพาหะ ติดต่อทางบาดแผลที่ถูกตัวอ่อนของไรอ่อนกัด มักพบในผู้ใหญ่ตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว โดยตัวไรแก่จะชอบอาศัยอยู่บนหญ้าและวางไข่บนพื้นดิน เมื่อฟักเป็นตัวอ่อน ไรอ่อนจะกระโดดเกาะสัตว์ เช่น หนู นก กระแต สัตว์เลื้อยคลานต่างๆรวมทั้งคนที่เดินผ่านไปมา เพื่อดูดน้ำเหลืองเป็นอาหาร
จากรายงานสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 12 พ.ย. 2559 มีผู้ป่วยโรคสครับไทฟัส จำนวน 5,779 ราย เสียชีวิต 1 ราย นับเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยทีเดียว
ผู้ป่วยโรคสครับไทฟัสมักจะไม่รู้ตัวในทันทีว่าป่วย เพราะโรคจะแสดงอาการหลังถูกกัดประมาณ 10 – 12 วัน โดยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว ตาแดง ปวดกระบอกตา มักพบแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ บริเวณที่ถูกไรอ่อนกัด ลักษณะมีสีแดงคล้ำเป็นรอยบุ๋ม ไม่คัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ บางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ทำให้เสียชีวิตได้ แม้โรคนี้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่มียารักษาให้หายได้ โดยการกินยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์
วิธีป้องกันโรคสครับไทฟัส
- สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด สวมรองเท้า สวมถุงเท้าหุ้มปลายขากางเกง ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ และเหน็บชายเสื้อเข้าในกางเกง รวมถึงทายาป้องกันแมลงกัดตามแขนขา
- หากตั้งแคมป์ไฟ หรือกางเต็นท์นอนในป่า ควรทำบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน
- หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบนพื้นหญ้า บริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะ ควรนอนเปลสนามเพื่อป้องกันไร
- หลังออกจากป่าให้รีบอาบน้ำให้สะอาด และซักเสื้อผ้าที่สวมใส่ทันที เพราะตัวไรอาจติดมากับเสื้อผ้าได้
ดังนั้น หากมีไข้สูงและปวดศีรษะ หลังกลับออกจากเที่ยวป่าภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่คุณจะป่วยด้วยโรคสครับไทฟัส