“ฝีฝักบัว” (Carbuncle)
คือการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มสแตฟฟีโลค็อกคัส (Staphylococcus) ที่ต่อมไขมันและที่ขุมขนของผิวหนัง ลุกลามจนรวมกันเป็นกลุ่มก้อน มีหนองสะสมจนมีลักษณะเป็นก้อนหนองเรียกว่าเป็น “ฝีฝักบัว” (โดยทั่วไปฝีมักขึ้นเพียงหัวเดียว แต่กรณีที่ขึ้นหลายหัว ติดๆ กัน จะเรียกว่า “ฝีฝักบัว”)
“ฝีฝักบัว”เป็นโรคที่เกิดได้ในทุกเพศและในทุกวัย พบมากในเมืองร้อนเกิดจากเชื้อที่ผิวหนัง ลุกลามเข้าขนและเกิดการอักเสบ กลายเป็นฝีที่อยู่ใต้ผิวหนัง หากอยู่ตื้นฝีก็จะแตกออกมา หากอยู่ลึกฝีจะไม่แตก
ปัจจัยเสี่ยงเกิดที่ทำให้เกิดฝีฝักบัวได้แก่…
- ขาดการรักษาสุขอนามัยตนเอง
- บริเวณดังกล่าวมีการเสียดสี หรือเกิดแผลได้ง่าย
- ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง
- มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น ติดเชื้อเอชไอวี
- กินยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เช่น ในผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ
- ผู้ที่ไม่รักษาความสะอาดในการโกน ขน ผม หนวด เครา
- ใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อ Staphylococcus
ฝีฝักบัวไม่ใช่โรคติดต่อ การเกิดฝีฝักบัวอาศัย 2 ปัจจัยคือ การบาดเจ็บที่ผิวหนังที่เกิดอยู่ก่อน และเชื้อก่อโรค (เชื้อแบคทีเรีย) ที่อยู่ที่ผิวหนัง
ฝีฝักบัวมีอาการเป็นผื่นแดง แข็ง เจ็บ ประกอบกับต่อมขุมขนที่อักเสบติดเชื้อหลายๆอันมารวมกันอยู่ในผิวหนังชั้นลึก ที่ผิวหนังด้านบนจะมองเห็นผิวแดงอักเสบ มีตุ่มหนองหลายตุ่มตามรูขุมขนมองดูคล้าย “ฝักบัว” ต่อมาตุ่มหนองจะแตกออกเป็นหนองไหลออกมา โรคจะหายอย่างช้าๆ เกิดเป็นแผลเป็นตามมาในรายที่ติดเชื้อมากอาจมีอาการไข้และอาการอ่อนเพลียร่วมด้วย
ผู้ป่วยฝีฝักบัวควรไปพบแพทย์หากมีอาการดังนี้ รอยโรค แดง ขยาย ลุกลามขึ้น,เป็นฝีที่หน้า, เป็นฝีใกล้กระดูกสันหลัง, ฝีก้อนใหญ่ และอาการไม่ดีขึ้นภายในสองสัปดาห์ หรือผ็ป่วยเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล โดยในรายที่มีการติดเชื้อลุกลาม
ฝีฝักบัวอาจก่อผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อในอวัยวะต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงเช่น กระดูก เกิดกระดูกอักเสบ, มีการติดเชื้อในกระแสโลหิต เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อทั้งนี้เราสามารถป้องกันตัวให้ห่างไกลจากฝีฝักบัวโดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค อาทิ การรักษาสุขอนามัยในร่างกาย ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงไม่บีบหัวฝี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขึ้นตรงกลางใบหน้า