“เอดส์” เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องและเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน โรคนี้แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ฉะนั้นจึงเป็นโรคที่ทุกคนควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยค่ะ
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า
เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้แค่ 3 ช่องทางหลักเท่านั้นคือ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้มีเชื้อ HIV และการถ่ายทอดเชื้อ HIV จากแม่สู่ลูก
การจะติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับ 3 ประการ คือ…
- ปริมาณของเชื้อมากพอ
- คุณภาพของเชื้อที่ใหม่ สดพอ
- ช่องทางเข้า-ออก
ดังนี้ คนเราเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันไม่ว่าทางช่องทางใดๆ ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เหมือนกัน โดยเฉพาะทางทวารหนัก ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงมากที่สุด เพราะทวารหนักไม่มีน้ำหล่อลื่น มีโอกาสแผลถลอก มีเลือดออก ทำให้มีการแพร่กระจายของเชื้อ HIV จากคนหนึ่งไปสู่คู่ได้
วิธีปฏิบัติเพื่อให้ตนเองปลอดภัยจากการเชื้อ HIV
การปฏิเสธเมื่อเห็นว่ายังอยู่ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย หรือเมื่อคิดจะทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย เเละต้องตระหนักอยู่เสมอว่าต้องใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี
ส่วนในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่สวมถุงยางอนามัยถือว่าเป็นภาวะเสี่ยง จึงควรรีบไปปรึกษาแพทย์ให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อขอรับยาต้านไวรัสที่เรียกว่า เป็ป (PEP ย่อมาจาก Post Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่กินหลังสัมผัสเชื้อ HIV เพื่อป้องกันการติดเชื้อตามแพทย์สั่ง
อย่างไรก็ตาม การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ควรใช้เจลหล่อลื่นที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย เพื่อช่วยลดการเสียดสีที่จะก่อให้เกิดบาดแผล ซึ่งเป็นช่องทางการติดต่อของเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดให้บริการสำหรับประชาชน สามารถเข้ารับคำปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อ HIV ได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง โดยใช้เพียงบัตรประชาชนที่มีเลข 13 หลัก