สร้างความกังวลให้เหล่าคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้ไม่น้อย กับพฤติกรรม “ดูดนิ้ว” ของเจ้าตัวเล็ก เพราะแม้ไม่ใช่อาการเจ็บป่วย แต่การดูดนิ้วมือของลูกก็เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคเข้าปาก และอาจส่งผลถึงรูปทรงของฟันที่จะงอกขึ้นมา รวมถึงอาจทำให้เบบี๋ติดนิสัยดูดนิ้วมือจนโต ซึ่งเป็นภาพที่ไม่น่าดูนัก
หนังสือ “การจัดการนิสัยดูดนิ้วสำหรับทันตแพทย์” โดย รศ.ทพญ.ประภาศรี ริรัตนพงษ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “การดูดนิ้ว” ของเบบี๋ไว้ดังนี้…
- การดูดนิ้วในเด็กอายุ 1 ปี เป็นพฤติกรรมที่ปกติ
- นิสัยดูดนิ้วมือ สามารถเลิกได้เองในช่วงอายุ 2-4 ปี
- ถ้าเด็กหยุดการดูดนิ้วได้ก่อนอายุ 4 ปี ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการดูดนิ้ว (ที่อาจทำให้ฟันหน้าบนเริ่มยื่นนั้น) จะเป็นเพียงชั่วคราว
- ถ้าอายุเกิน 4 ปีแล้วยังคงดูดนิ้ว จะพบความผิดปกติของการสบฟันรุนแรงขึ้น เช่น ฟันหน้าบนยื่น และสบเปิด (ฟันหน้าบนยกขึ้นจนกัดเส้นก๋วยเตี๋ยวไม่ได้)
- การรักษาโดยทันตแพทย์จะเริ่มในช่วงเด็กอายุ 4-6 ปีไปแล้ว
- หากลูกดูดนิ้วในช่วงที่เหงาหรือกังวล ผู้ปกครองควรแสดงความรักโดยการโอบกอดเด็ก ให้ความมั่นใจ และเบี่ยงเบนความสนใจเด็กไปจากการดูดนิ้ว หากิจกรรมที่ต้องใช้มือหรือปากให้เด็กทำ
- หากลูกดูดนิ้วก่อนนอน เพราะเด็กพยายามกล่อมให้ตัวเองหลับ ผู้ปกครองควรเป็นผู้กล่อมให้ลูกหลับเองโดยเล่านิทาน ร้องเพลง กอดกันนอนและจับมือลูกไว้ อีกตัวช่วยหนึ่งคือ ให้ลูกทำกิจกรรมในช่วงบ่ายจนเหนื่อย พอถึงเวลานอนก็พาเข้านอนตอนง่วงพอสมควรแล้ว จะช่วยให้ลูกหลับง่ายขึ้น
- การลงโทษหรือตำหนิ ไม่ช่วยแก้ไขปัญหา แต่ยิ่งทำให้เด็กกังวลและดูดนิ้วมากขึ้น
- เด็กบางรายเลิกดูดนิ้วได้เองจากการที่ผู้ปกครองเลิกสนใจกับการดูดนิ้วของเขา
- การใส่ถุงมือผ้า การใช้ผ้าหรือเทปพันที่นิ้ว การดัดแปลงชุดนอนให้แขนเสื้อยาวมากเกินปกติ เหมาะสำหรับเด็กที่ต้องการเลิกนิสัยดูดนิ้วและต้องการตัวช่วยให้ลูกไม่เผลอเอานิ้วเข้าปาก โดยเฉพาะตอนนอน
- การให้รางวัล เป็นแรงเสริมสนับสนุนให้เด็กอยากเลิกดูดนิ้วได้ผลดีกว่าคำตำหนิหรือลงโทษ วิธีนี้ใช้ได้ผลกับเด็กวัยอนุบาลขึ้นไป อาจทำเป็นปฏิทินแล้วให้ดาวเมื่อเด็กไม่ดูดนิ้ว หรือแม้แต่กำลังจะดูดแล้วแม่เตือนเบาๆ ลูกก็ไม่ดูด ก็ควรได้ดาว เมื่อสะสมดาวได้ครบ 10 ดวง 15 ดวง แล้วแต่จะตกลงกัน ก็จะได้รางวัลชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องใหญ่โตอะไร แต่เป็นสิ่งที่ลูกอยากได้ ก็จะมีแรงจูงใจให้เด็กพยายาม
การปรับพฤติกรรมเป็นเรื่องต้องใช้เวลาและความอดทนสูง ฉะนั้นขอให้คุณพ่อคุณแม่ใจเย็นๆ และพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของลูกน้อยนะคะ