“ไวรัสตับอักเสบ บีและซี” ภัยเงียบที่อันตรายถึงชีวิต

0

กลายเป็นโรคฮิตอันดับต้น ๆ ที่หลายคนกล่าวถึง จากกรณีที่มีอดีตพระเอกชื่อดังเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ ซึ่งมีผลมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ใครที่เคยมองผ่านเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ บอกเลยว่าต้องกลับมาโฟกัสให้มากขึ้น เพราะโรคนี้ใกล้ตัวคุณกว่าที่คิด ทั้งยังก่อให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้

 

“ไวรัสตับอักเสบ” จัดเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง แม้อาการของโรคจะไม่รุนแรงก็ตาม ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มากกว่า 350 ล้านคน โดยไวรัสตับอักเสบ สามารถถ่ายทอดเชื้อสู่ผู้อื่นได้ และเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ โดยมี 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสตับอักเสบที่เป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ บีและซี โดยสามารถแบ่งอาการออกเป็น 2 ระยะ คือ โรคตับอักเสบเฉียบพลัน และโรคตับอักเสบเรื้อรัง

 

23

 

สำหรับอาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง มีไข้ ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี มีเพียงร้อยละ 5-10 ที่มีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง  ส่วนโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง จะมีอาการนานเกินกว่า 6 เดือน โดยแบ่งได้อีกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

 

  1. ชนิดตับอักเสบเรื้อรังไม่รุนแรง (Chronic Persistent) แบบค่อยเป็นค่อยไป
  2. ชนิดตับอักเสบเรื้อรังแบบรุนแรง (Chronic Active Hepatitis) เป็นอาการอักเสบที่เกิดจากตับถูกทำลายไปมากและเกิดอาการตับแข็ง ในผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเกิดขึ้น แต่เชื้อไวรัสจะทำลายตับไปเรื่อย ๆ จนเกิดอาการตับแข็ง และท้ายสุดก็จะกลายเป็นมะเร็งตับ

 

ข้อมูลจาก นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค ระบุว่า สถานการณ์โรคไวรัสตับอักเสบในประเทศไทย มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีเรื้อรัง ประมาณ 2.2–3 ล้านคน มีอัตราความชุกประมาณร้อยละ 4–5 ของประชาชนที่เกิดก่อนปี พ.ศ.2535 ทำให้ปัจจุบันพบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีเรื้อรัง ในประชากรที่อายุ 30 ปีขึ้นไปเป็นส่วนมาก

 

ส่วนประชาชนที่เกิดหลังปี พ.ศ.2535 ได้มีการบรรจุวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนของประเทศ ทำให้พบอัตราความชุกที่ลดลง ร้อยละ 0.6  ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี คือกลุ่มประชากรที่เกิดก่อนปีพ.ศ. 2535 ซึ่งต้องมาตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป  ส่วนผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณ 7.5 แสนคน พบมากในผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด

 

สำหรับไวรัสตับอักเสบซี ไม่สามารถพยากรณ์โรคได้ว่าจะเป็นแบบไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจาก หลังการติดเชื้ออาจเกิดมะเร็งตับ โดยไม่ต้องมีภาวะตับแข็งก่อนได้ และการรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัสตับอักเสบซี ที่ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ สามารถรักษาให้หายได้ เพียงรับประทานยาต่อเนื่อง 4 เดือน

 

การลดความเสี่ยงของโรคไวรัสตับอักเสบ ทำได้โดยการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะการตรวจเช็คตับให้ได้ปีละครั้ง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *