“วัยทอง” หรือ “วัยหมดประจำเดือน”
ในผู้หญิงจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 45-55 ปี โดยเฉลี่ยอายุ 50 ปี เมื่อถึงวัยนี้ รังไข่จะหยุดทำงาน และไม่มีการตกไข่อีกต่อไป ทำให้ไม่มีประจำเดือนและไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่อีก ฮอร์โมนเพศหญิงที่ขาดหายไปนี้มีชื่อว่าเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน จึงทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจต่างๆ ตามมา
อาการของวัยทองได้แก่…
- ประจำเดือนมาน้อยวันและไม่สม่ำเสมอ
- ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหนื่อยง่าย ใจสั่นมีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน หนาวสั่นโดยไม่มีสาเหตุ
- มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เร็ว เครียดง่าย หงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ โกรธง่าย ใจน้อย ควบคุมอารมณ์ได้ยาก หลงลืมง่าย เวียนศีรษะ ซึมเศร้า
- นอนหลับยากหรือนอนไม่หลับ
- ผิวหนังจะบางลง แห้งและเกิดเป็นแผลได้ง่าย คันตามผิวหนัง ผิวหนังเกิดผื่นแพ้ง่าย
- ช่องคลอดขาดความชุ่มชื้น น้ำหล่อลื่นน้อยลง ทำให้เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์
- เส้นผมจะหยาบแห้งและบางลง หลุดร่วงได้ง่าย
- ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือปวดตามข้อและกระดูก กระดูกจะบางและเปราะง่าย
โดยแต่ละคนจะมีอาการมากน้อยแตกต่างกันไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เพศสัมพันธ์” เป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตคู่! แล้ววัยทองเกี่ยวอย่างไร?
หลายคู่ไปกันไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์ จากสถิติพบว่า 2 ใน 3 ของสาววัยทองมักมีปัญหาในการมีเพศสัมพันธ์ และร้อยละ 72 มาจากปัญหาช่องคลอดแห้ง ทำให้ปวดแสบปวดร้อนเวลามีเพศสัมพันธ์ ส่งผลให้สตรีวัยนี้ไม่ค่อยอยากมีเพศสัมพันธ์ ตรงข้ามกับฝ่ายชายที่ยังมีความต้องการทางเพศอยู่ จึงทำให้อาจเกิดปัญหาในชีวิตคู่ได้
นอกจากการเปิดอกพูดคุยกับสามีเพื่อทำความเข้าใจเรื่องเซ็กซ์ในวัยทองร่วมกันแล้ว อีกหนึ่งทางแก้ปัญหาที่ได้ผลก็คือ การใชัรักษาภาวะช่องคลอดแห้ง โดยยาที่ใชัรักษาภาวะช่องคลอดแห้ง ควรเน้นไปที่สรรพคุณเพื่อปรับสภาพให้เชื้อแลคโตบาซีลัสที่มีอยู่ในช่องคลอดกลับมามีจำนวนปกติ รวมถึงช่วยรักษาอาการระคายเคืองของช่องคลอด เช่น Gynoflor เป็นต้น