ยังคงเป็นความเชื่อและกระแสที่บอกต่อกันมาอย่างแพร่หลาย สำหรบการกิน “ยาคุมกำเนิด” เพราะหวังผลพลอยได้ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวใสไร้สิว แถมหน้าอกหน้าใจยังตู้มต้าม สะโพกผาย มีส่วนเว้าส่วนโค้งมากขึ้น
คำถามที่ตามมาก็คือ ความเชื่อเหล่านี้มันจริงหรือมั่ว??
ยาคุมกำเนิดมีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ยาคุมกำเนิดชนิดรวม (combined pills) ซึ่งยาทุกเม็ดจะมีส่วนประกอบของเอสโตรเจน (estrogen) และโปรเจสเตอโรน (progesterone) ในขนาดเท่ากันทุกเม็ด โดยมีอยู่ 21 เม็ด ส่วนยาคุมชนิด 28 เม็ด อีก 7 เม็ด จะเป็น vitamin, staech หรือ ferrous fumarate
ยาคุมที่ดีต้องมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในสัดส่วนที่พอเหมาะ การใช้เอสโตรเจนเดี่ยวๆ มีผลทำให้ผนังมดลูกหนามากไป จึงเสี่ยงเป็นมะเร็งทางระบบสืบพันธุ์
รวมทั้งเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม ส่วนโปรเจสเตอโรน เป็นตัวที่เป็นแอนตี้แอนโตรเจน ทานเข้าไปจะเกิดการคั่งของน้ำ บวมน้ำ สังเกตว่าเวลามีประจำเดือน จะเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล หน้าอกใหญ่ขึ้น สะโพกผาย เพราะว่าน้ำคั่งขึ้นมานั่นเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นการกินยาคุมกำเนิดมักมีผลข้างเคียง ที่พบบ่อยได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ น้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดศีรษะ ยาคุมบางชนิดทำให้สิวเห่อขึ้น บางชนิดเป็นฝ้า บางคนทานแล้วประจำเดือนมากระปริดกระปรอย บางคนทานยาคุมแล้วมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ได้แก่เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวลมากขึ้น ส่วนอาการข้างเคียงที่รุนแรงแต่พบไม่บ่อย ก็คือ เส้นเลือดอุดตัน และมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมสูง
พึงระลึกไว้เสมอว่ายาคุมกำเนิดทำมาเพื่อคุมกำเนิด แต่ผลข้างเคียงที่มีประโยชน์ คือ ช่วยรักษาสิว (ยาคุมบางชนิดตอบสนองได้ดีกับสิวที่เกิดจากฮอร์โมน) ลดอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือนได้ ซึ่งก็เป็นผลที่ได้แบบเฉพาะบุคคล ไม่ได้หมายความว่าทุกคนทานได้ และได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการกินยาคุม ฉะนั้นไม่ควรเสี่ยงซื้อยาคุมกำเนิดกินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
