“ท่อปัสสาวะอักเสบ” (Urethritis)
การบาดเจ็บ อักเสบ บวม ของเซลล์เยื่อเมือกบุท่อปัสสาวะ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือ จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เกิดจากเชื้อหนองในแท้หรือหนองในเทียมเชื้อที่เป็นสาเหตุของหนองในเทียมนอกจากนี้อาจมีสาเหตุที่ไม่ใช่จากการติดเชื้อ แต่อาจก่อการติดเชื้อตามมาได้ในภายหลัง
เช่น การบาดเจ็บของท่อปัสสาวะจากการสวนปัสสาวะ หรือจากเยื่อเมือกบุท่อปัสสาวะได้รับสารก่อการระคายเคืองต่างๆ เช่น น้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ
ท่อปัสสาวะ (Urethra) เป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็ก มีหน้าที่นำส่งปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกสู่ภายนอกร่างกาย ผนังของท่อปัสสาวะประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลัก คือเยื่อเมือกบุภายในท่อ และกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่บีบตัวเพื่อส่งน้ำปัสสาวะเนื่องจากในผู้หญิงนั้นท่อปัสสาวะอยู่ในร่างกายทั้งหมด โดยมีรูเปิดนำปัสสาวะออกนอกร่างกายในบริเวณใต้แคมเล็กของอวัยวะเพศ ซึ่งใกล้กับปากช่องคลอดและปากทวารหนัก
ดังนั้น ผู้หญิงจึงติดเชื้อได้ง่ายกว่าในผู้ชายมาก เพราะสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรงจากอวัยวะเพศภายนอก จากมดลูก ปากมดลูก จากช่องคลอด จากอุจจาระ และจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดท่อปัสสาวะอักเสบ ได้แก่…
- หญิงวัยเจริญพันธุ์
- ชายวัย 20-35 ปี
- ผู้มีเพศสัมพันธ์สำส่อน
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือทางปาก
- หญิงที่คุมกำเนิดโดยใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ
- หญิงที่คุมกำเนิดด้วยการใส่ฝาครอบปากมดลูก
ส่วนอาการของโรคนั้นไม่แสดงอาการอะไรเลย แต่ตรวจปัสสาวะพบความผิดปกติ ในรายที่มีอาการจะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อยและออกครั้งละน้อยๆ อาจมีเลือดหรือหนองปนออกมาในปัสสาวะ เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ส่วนใหญ่มักไม่มีไข้ เว้นแต่ทิ้งไว้จนเชื้อลุกลามเข้าไปภายใน
ความรุนแรงของโรคท่อปัสสาวะอักเสบขึ้นกับสาเหตุ โดยทั่วไปเป็นโรคไม่รุนแรง รักษาได้หายเสมอ ส่วนผลข้างเคียงจากโรคท่อปัสสาวะอักเสบ มักเกิดจากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง เช่น ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองจนเกิดเชื้อดื้อยา ส่วนการป้องกันโรคท่อปัสสาวะอักเสบ คือการป้องกันที่สาเหตุ และควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค อาทิ ใช้ถุงยางอนามัยชนิดที่ได้มาตรฐานเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์