“คันก้นบ่อย”
หรือจะบอกว่าเป็นอาการ คันทวารหนัก (Pruritus ani) คือ อาการคันที่เกิดในบริเวณรอบๆ ปากทวารหนัก อาจเป็นอาการเฉียบพลัน หรือเป็นอาการเรื้อรัง ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ อาการคันจะเกิดอยู่ตลอดเวลา โดยมากจะเกิดหลังจากเข้าห้องน้ำ และก่อนนอน และจะเป็นมากเมื่อ ร้อน ชื้น เครียด ผลจากการคันจะทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเกิดการติดเชื้อ คันทวารหนักเป็นอาการพบได้บ่อย พบได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกช่วงอายุ
สาเหตุของการคันทวารหนักมีได้หลายสาเหตุ ได้แก่
- บริเวณรอบทวารหนัก เปียกชื้น อับ ซึ่งอาจเกิดจากเหงื่อออกมากหรือหลังเข้าห้องน้ำแล้วเช็ดไม่แห้ง
- มีโรคผิวหนัง เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ต่างๆ โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ
- มีอุจจาระไหลซึมออกมารอบๆ ปากทวารหนัก ภาวะท้องผูกเรื้อรัง ภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่
- มีการติดเชื้อในผิวหนังรอบปากทวารหนัก ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อรา หิด เริม หูด รวมถึงพยาธิ
- ผิวหนังบริเวณรอบทวารหนักสัมผัสสารหรือสิ่งก่อการระคายเคือง
- โรคหรือบางภาวะที่ทำให้เกิดอาการคัน เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไต โรคตับ
- ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอาการคัน เช่น ยาปฏิชีวนะทำให้เกิดท้องร่วงทำให้คันทวารหนัก
- อาหารบางประเภทจะทำให้เกิดอาการคันหลังจากถ่ายอุจาระ เช่น ผลไม้เปรี้ยว องุ่น อาหารรสจัด
นอกจากแก้ไขจากสาเหตุที่ทำให้เกิดการคันทวารหนัก เรายังสามารถป้องกันอาการคันทวารหนักได้โดยการรักษาความสะอาดทั่วบริเวณทวารหนัก ดูแลบริเวณปากทวารหนักให้แห้งเสมอ
เลือกของใช้ในบริเวณทวารหนักชนิดที่อ่อนโยน (เช่น เครื่องนุ่มห่ม ทิชชู่ สบู่ น้ำยาซักผ้า) ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงป้องกันอาการท้องผูก ท้องเสีย และที่สำคัญหมั่นสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างอาการกับเครื่องใช้รวมถึงอาหารการกินเสมอเพื่อให้การรักษาอาการเป็นไปอย่างถูกจุด
ผลข้างเคียงจากการคันทวารหนักที่สำคัญ คือ การเกาจนเกิดแผลติดเชื้อหรือแผลเลือดออก รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอ แม้การคันทวารหนักจะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรพบแพทย์เมื่อบริเวณทวารหนักมีอาการ ดังนี้
- คันมากจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- มีแผลเรื้อรัง
- มีก้อนเนื้อ
- แผลติดเชื้อ (บวม แดง มีน้ำเหลือง หนอง)
- มีอาการเจ็บมากที่ทวารหนัก
- มีเลือดออกในบริเวณที่คันต่อเนื่อง
- คลำได้ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบโต
- อาการคันเรื้อรังนานเป็นหลายสัปดาห์โดยไม่ดีขึ้นแม้จะดูแลตนเองเป็นอย่างดี