“โรคต้อหิน” เป็นโรคทางตาที่เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาตาบอดมากเป็นอันดับ 2 รองจากต้อกระจก ซึ่งต้อหินเกิดจากความดันภายในลูกตาสูงไปกดขั้วประสาทตา ทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อมหรือฝ่อ เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงและลานสายตาแคบลง พบได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้มีอายุประมาณ 40-60 ปี
“โรคต้อหิน”
เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างของมุมตาแต่กำเนิด การกระทบกระเทือนต่อลูกตาจากสาเหตุภายนอก หรือเกิดจากการอักเสบภายในลูกตาต้อหินเป็นโรคทางตาที่มีอันตรายมากที่สุด เพราะทำให้ตาบอดถาวรได้
เนื่องจากขั้วประสาทตาที่เสื่อมหรือฝ่อแล้วไม่สามารถทำการรักษาให้ดีเหมือนเดิมได้การรักษาโรคต้อหินเช่น ใช้ยาหยอดตา รับประทานยา ยิงแสงเลเซอร์ ผ่าตัด เป็นเพียงการระงับไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายไปมากกว่าเดิม ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้งเหมือนการรักษาต้อกระจก
“ต้อหิน” มี 2 ประเภท คือ…
1. ต้อหินชนิดมุมปิด
หรือชนิดเฉียบพลันเกิดจากมีการขัดขวางการไหลเวียนของน้ำในลูกตาที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน จะมองเห็นสีรุ้งรอบดวงไฟ จะปวดตามาก ตาแดง ปวดศีรษะด้านตาข้างที่เป็น ลืมตาไม่ขึ้น บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยควรรีบมาพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้เกิน 2-3 วัน อาจตาบอดได้
2. ต้อหินชนิดมุมเปิด
เกิดจากการสร้างน้ำในตาไม่ปกติหรือรูเปิดระบายน้ำออกผิดปกติ ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่เจ็บ ไม่ปวด เมื่อปล่อยไว้นาน ๆ ผู้ป่วยจะมีลานสายตาแคบลงมองด้านข้างไม่เห็น มักเดินชนของ จึงเริ่มมาพบแพทย์เมื่อเป็นมากแล้ว
5 กลุ่มเสี่ยงโรคต้อหิน
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน
- ผู้มีสายตาสั้นหรือยาวมาก
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับเลือดและหลอดเลือด
- ผู้ที่ใช้ยาหยอดตาพวกสเตียรอยด์
เพื่อป้องกันโรคต้อหิน แนะนำผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหาเวลาเข้ารับการตรวจวัดความดันลูกตาและขั้วประสาทตาบ้าง และอาจตรวจซ้ำๆ ทุกๆ 1-5 ปี เพื่อไม่ให้ประสาทตาเสื่อมมากขึ้น