“โรคซึมเศร้า”เป็นโรคทางจิตเวชที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจไปจนถึงร่างกาย เช่นนอนหลับๆ ตื่นๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก หมดความสนใจต่อโลกภายนอก ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะหนีจากความทรมานทางจิตใจด้วยการ “ฆ่าตัวตาย”
“ภาวะซึมเศร้า”
เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง และส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าว คือ กลุ่มผู้มีโรคประจำตัว กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ติดสุรา สารเสพติด กลุ่มผู้สูญเสียบุคคลที่รัก หรือของที่รัก โดยการที่ผู้หญิงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชายนั้นสันนิษฐานว่าเป็นเพราะฮอร์โมนเพศมีความแตกต่างกัน ระบบสารสื่อประสาทและอาการมีความแตกต่างกัน ประกอบกับผู้หญิงส่วนใหญ่มีความเครียดทั้งการทำงาน การดูแลลูก ดูแลครอบครัวมากกว่าผู้ชาย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการว่า ประชากรมากกว่า 300 ล้านคน หรือร้อยละ 4 เป็นโรคซึมเศร้า และเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ 20.4 โดยผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากลุ่มวัยรุ่น อายุ 15 – 19 ปี เสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคนี้ 1.5 ล้านคน หรือร้อยละ 2.5 ของประชากรไทย และยังพบว่าผู้หญิงเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชายถึง 1.7 เท่า
สัญญาณบอกเหตุของโรคซึมเศร้า
โดย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
- ซึมเศร้า หงุดหงิด ก้าวร้าว
- ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง
- ไม่มีสมาธิ
- อ่อนเพลีย
- เชื่องช้า
- รับประทานอาหารมากขึ้น หรือน้อยลง
- นอนมากขึ้น หรือน้อยลง
- ตำหนิตัวเอง
- พยายามฆ่าตัวตาย
หากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ 5 ข้อติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ ให้สงสัยว่า อาจเป็นโรคซึมเศร้า
แนวทางการแก้ปัญหาโรคซึมเศร้านั้น ความเข้าใจของคนรอบข้าง ครอบครัวและสังคมเป็นสิ่งสำคัญ หากทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกันก็จะช่วยลดปัญหาอันเกิดจากโรคดังกล่าวลงได้