ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวสุขภาพที่เราได้ยินได้อ่านผ่านหูผ่านตาอยู่บ่อยครั้ง คงหนีไม่พ้นกรณีข่าวเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนสายพันธุ์ จนวัคซีนอาจไม่มีประสิทธิภาพ เรียกว่าสร้างความตื่นตระหนกให้เราคนรักสุขภาพได้ไม่น้อย
จนเกิดคำถามว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใดที่จะระบาดในปีนี้!
นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า
ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนสายพันธุ์ทุกปี แต่ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ และเปลี่ยนทีละน้อย ซึ่งการเฝ้าระวังจะมีระบบในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเชื้อ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเป็นผู้ให้ข้อมูลกับทางองค์การอนามัยโลกในทุกปี เพื่อตัดสินใจและประกาศว่าในแต่ละปีจะใช้เชื้อตัวใดในการผลิตวัคซีน อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2560 พบว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์บี มากขึ้นจึงคาดว่าปี 2561 จะระบาดด้วยสายพันธุ์นี้มากขึ้น
พญ.ปิยรัชต์ สันตะรัตติวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์และโรคติดเชื้อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ สรุปความได้ว่า
ไข้หวัดใหญ่แบ่งออกเป็นสายพันธุ์ใหญ่ๆ 3 สายพันธุ์ คือ เอ บี และซี ซึ่งสายพันธุ์ซี มีความรุนแรงน้อยที่สุด โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอและบี เป็นสายพันธุ์ที่พบได้ทั่วโลก แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอมักจะรุนแรงมากกว่า
สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี โดยส่วนมากจะระบาดในช่วงฤดูหนาว เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ซึ่งพบมากที่สุดช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม และฤดูฝน ในส่วนของอาการป่วยจะเป็นแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงมากถึง 40 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามตัว คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอและไอ หากมีภาวะแทรกซ้อนก็จะเกิดภาวะปอดอักเสบได้ ระยะเวลาป่วยประมาณ 6-7 วัน
ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี สามารถพบได้ทุกช่วงวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีดัชนีมวลกายเยอะหรือโรคอ้วน หากเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงกว่าปกติ
เพื่อป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด หรือมีคนเยอะ ล้างมือบ่อยๆ และล้างให้สะอาดทุกครั้ง