คุณแม่บ้านสมัยใหม่ที่อาจไม่ค่อยมีเวลาเตรียมอาหารเสริมให้ลูก อาจจะต้องพึ่งพาอาหารขวดสำเร็จรูปที่จำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งแน่นอนว่าสนนราคาค่อนข้างสูงเพราะ 4 ใน 5 เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ คำถามในใจคุณแม่ๆ ตอนนี้ก็คือ หากต้องจ่ายแพงแล้วประโยชน์ที่ได้รับกลับมาจะคุ้มค่าหรือไม่ เรามาลองพิจารณากันดูค่ะ
ประเภทของอาหารบรรจุขวด
- ผักบด
- ผลไม้บด
- เนื้อสัตว์ผสมข้าวหรือแป้งประเภทเส้นหมี่ เส้นพาสต้า
- น้ำผลไม้
คุณค่าอาหาร
อาหารบรรจุขวดไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คุณค่าโภชนาการที่ครบถ้วนแก่เด็ก แต่มุ่งเน้นให้เด็กรู้จักรสชาติอาหารที่หลากหลาย
ดังนั้นคุณค่าอาหารของอาหารบรรจุขวดแต่ละชนิดจึงมีมากน้อยแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบที่เลือกใช้ บางชนิดให้คุณค่าแค่วิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเมื่อเทียบกับอาหารปรุงสด หรือผักผลไม้สดแล้วย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่า ไม่สามารถใช้ทดแทนนมหรือมื้ออาหารหลักของลูกได้ ตามกฎหมายจึงให้ระบุข้างขวดว่า “อย่าใช้เลี้ยงทารกแทนนมแม่”
วิธีเลือกซื้อ
- พิจารณาคุณค่าทางอาหารจากฉลากข้างขวด เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่และเพียงพอ
- เลือกอาหารให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ลูกฝึกความพร้อมเมื่อโตขึ้นลูกจะกินอาหารได้
- หลายชนิด และไม่กลัวที่จะลองของใหม่ที่ไม่ใช่รสชาติที่คุ้นเคยอย่างอาหารในบ้านฝีมือคุณพ่อคุณแม่
- เลือกซื้อชนิดอาหารที่เหมาะสมกับอายุของลูก เช่น ในเด็กเล็กช่วง 6 – 7 เดือนเพิ่งเริ่ม
- รับประทานอาหารเสริมยังเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้จึงเหมาะกับอาหารบดละเอียด ส่วนเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไปเริ่มรับประทานอาหารอาหารที่มีความละเอียดน้อยลงก็ควรส่งเสริมให้ลูกได้ใช้ฟันบดเคี้ยวอาหาร นอกจากนี้เด็กแต่ละช่วงวัยก็มีความสามารถในการย่อยอาหารแต่ละประเภทได้มากน้อยต่างกัน
- ส่วนในแง่ความปลอดภัย ต้องสังเกตวันที่หมดอายุ ซึ่งปรากฏอยู่บนฝาและปุ่มกลางฝา (safety bottom) ว่าไม่บวมขึ้นมา การบวมของปุ่มนี้แสดงว่า ขวดได้ถูกเปิดแล้วซึ่งอาจเกิดการปนเปื้อนและไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค
เมื่อได้ทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว คุณแม่ก็คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างคุณค่าอาหารกับความสะดวกสบาย ตามแต่สถานการณ์ หากมีเวลา การทำอาหารเองก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากจำเป็นต้องเดินทางอาหารขวดก็เป็นทางเลือกที่สะดวก สะอาด ปลอดภัย หรือเอาไว้เสริมให้ลูกได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง …. เพียงแต่เลือกใช้อย่างเหมาะสมก็แฮปปี้ได้ไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ