แหม… หน้าทุเรียนมายั่วยวนตอนช่วงท้องแบบนี้ คุณแม่ท้องทั้งหลายคงนั่งกลืนน้ำลายกันเป็นแถว ยิ่งต้องดูแลพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษอยู่ คงช่างใจอยู่นานว่าจะกินดีไม่กินดี เห็นหัวข้อของแม่นุ่นวันนี้คงยิ้มแฉ่งเลยสิคะ แต่ก่อนจะกินทุเรียนเราต้องมาเสริมความรู้เพิ่มเติมกันก่อนค่ะ จะได้ดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและพอดี
รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ กล่าวว่า…
โฟเลตเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญกับคนทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แม่ก็ต้องการโฟเลตมาก เพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยหยุดภาวะความพิการของทารกได้ ทำให้เซลล์ตัวอ่อนเจริญเติบโตเป็นปกติ ลดภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ หรือกระดูกสันหลังไม่ปิดได้ ขณะที่ทารกก็ต้องการเพื่อพัฒนาเซลล์สมอง
ส่วนคนสูงอายุจะช่วยลดภาวะอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ โฟเลตยังช่วยหลั่งสารซีโรโทนิน ที่ช่วยควบคุมการนอน ความหิว ความอยาก และอาการซึมเศร้า ซึ่งโฟเลตจะอยู่ในพวกผักใบเขียว แต่ถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน ดังนั้น การรับประทานให้ได้โฟเลตตามปริมาณที่ร่างกายต้องการคือวันละ 300 ไมโครกรัมต่อวัน จึงเป็นเรื่องยาก ซึ่งบางประเทศจะพบอุบัติการณ์การขาดโฟเลต เช่น มาเลเซีย พบประมาณร้อยละ 10
รศ.ดร.รัชนี กล่าวอีกว่า จากการวิจัยเพื่อหาค่าของสารอาหารในอาหารแต่ละประเภท พบว่า โฟเลตนอกจากจะอยู่ในผักใบเขียว ยังอยู่ในผลไม้ไทยด้วย คือ ทุเรียนชะนีไข่ หมอนทอง กล้วยไข่ ขนุน มะละกอ ลิ้นจี่ ซึ่งผลไม้เหล่านี้สามารถรับประทานสดๆ ได้ โดยไม่ต้องผ่านความร้อน ทำให้ได้รับปริมาณโฟเลตอย่างเต็มที่
ทุเรียนซึ่งเป็นแหล่งที่มีโฟเลตมากที่สุด แค่รับประทานเพียง 2 เม็ด ก็จะเท่ากับ ร้อยละ 50 ของปริมาณโฟเลตที่แนะนำในแต่ละวันแล้ว แต่การรับประทานอาหารควรมีความหลากหลาย เช่น ทุเรียน แม้จะมีโฟเลตสูง แต่ถือเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลและให้พลังงานสูงเช่นกัน ผู้มีโรคประจำตัวบางชนิด อาจรับประทานได้ไม่มากนัก การจัดมื้ออาหารให้มีความสมดุลและหลากหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องเน้นให้มื้ออาหารมีความหลากหลาย สับเปลี่ยนหรือรับประทานอาหารหลายๆชนิด แต่ต้องพอดี ไม่ทานอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะทำให้เกิดความสมดุล อาหารก็จะกลายเป็นยา ไม่ใช่ยาพิษ
สรุปว่าแม่ท้องกินทุเรียนได้ แต่ก็ไม่ควรกินเยอะเกินไปนะคะ และถ้าแม่ท้องคนไหนมีภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวานอยู่ ก็จำเป็นต้องปรึกษาคุณหมอที่ฝากครรภ์ก่อนนะคะ