เกือบครึ่งของเด็กและวัยรุ่น จะประสบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงชีวิต ซึ่งผลกระทบต่อตัวเด็กย่อมมากน้อยไม่เท่ากัน เพราะแต่ละคนย่อมมีภูมิต้านทานแตกต่างกัน ทั้งนี้ ปัญหาบาดแผลทางจิตใจ อาจมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง บุคลิกภาพ อารมณ์ และการปรับตัวของเด็กได้ค่ะ
สำหรับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจ หลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่พบบ่อยมี 2 เรื่อง คือ…
1.โรคเครียดเฉียบพลัน
หรือ โรคเอเอสดี อาการโรคนี้มีตั้งแต่ ช็อก ตกใจ หวาดผวา มีนงง สับสน ภาพเหตุการณ์ผุดขึ้นมาซ้ำๆ ในใจ ฝันร้าย นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ซึมเศร้า เด็กอาจรู้สึกผิด รู้สึกว่าตนเองเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่อง เด็กจะต้องได้รับการดูแลเยียวยาอย่างเร่งด่วนและใกล้ชิดจากทุกฝ่าย ทั้งครู จิตแพทย์ และครอบครัว เพื่อคลี่คลายอาการเครียดให้เด็ก เกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นใจ และค่อยๆ ปรับตัวยอมรับกับสภาพเป็นจริงในปัจจุบันได้ การดูแลในช่วงนี้จะเน้นให้เด็กได้ใช้ชีวิตตามปกติที่สุด คือ ไปโรงเรียน เล่นกับเพื่อนๆ ไม่ต้องให้หยุดเรียน
2.โรคเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
หรือ โรคพีทีเอสดี (Post-Traumatic Stress Disorder : PTSD) ซึ่งโรคนี้มีความรุนแรงเรื้อรัง มักเกิดภายหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 3-6 เดือน โดยโรคนี้มีลักษณะอาการสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่างนี้ คือ นึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ 2. ไม่ยอมไปโรงเรียน หลีกเลี่ยงการดูข่าวประเภทเดียวกัน และ 3. ฝันร้าย
โรคเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เมื่อเกิดขึ้นในวัยเรียนจะมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง ทำให้เด็กขาดสมาธิในการเรียน มีปัญหาในการจำ อาจมีบุคลิกภาพเก็บตัว อารมณ์อาจซึมเศร้า ขาดความสามารถในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นและการปรับตัวในอนาคตได้
สำหรับการแก้ปัญหา สิ่งสำคัญ คือ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว รวมถึงครูและเพื่อนที่โรงเรียน ไม่ควรถามความรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นให้เด็กคิดถึงเหตุการณ์ขึ้นมาซ้ำอีก สิ่งที่ควรทำคือชวนเด็กเล่น ชวนพูดคุยในเรื่องที่ทำให้เด็กสนุกสนานและให้กำลังใจ จะช่วยให้เด็กมีพลังใจ จิตใจเข้มแข็ง และก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้ และไม่ควรตำหนิผู้เสียชีวิต
การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว เป็นบ่อเกิดปัญหาความรุนแรงในสังคม แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ หากยังแก้ไขไม่ได้ ควรไปปรึกษาแพทย์หรือโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ซึ่งให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ