“ไอกรน”
เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูก คอ และท่อลม) ทำให้มีอาการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอซ้อนๆ ติดๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น
โดยส่วนใหญ่โรคไอกรนจะหายได้เป็นปกติ แต่สำหรับเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน โรคมักรุนแรงกว่าวัยอื่น ถึงขั้นเสียชีวิตได้
จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไอกรนในประเทศไทย พบว่า ในปี 2559 – 2560 มีผู้ป่วยโรคไอกรนประมาณ 50 รายต่อปี โดยพบว่า
กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ติดเชื้อเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี และยังพบการเกิดโรคในผู้ใหญ่ อายุ 25 ขึ้นไป ประมาณร้อยละ 20 ซึ่งอัตราการเสียชีวิตในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปีอยู่ในช่วงร้อยละ 3.8 ส่วนในผู้ใหญ่ไม่พบรายงานการเสียชีวิตจากโรคไอกรน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยโรคไอกรน จำนวน 2 ราย ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่
การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ (วันที่ 2 – 8 ต.ค. 2560) คาดว่า อาจพบผู้ป่วยโรคไอกรนได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่ยังรับวัคซีนไม่ครบถ้วน โรคไอกรน ติดต่อโดยการไอหรือจามของผู้ป่วย ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันมีโอกาสเกิดโรคสูงถึงร้อยละ 90 ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไออย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน
อาการของโรคไอกรน 3 ระยะ
- ระยะแรกมีอาการคล้ายโรคหวัดแต่จะมีอาการไอแห้งๆ ยาวนานกว่า 10 วัน
- ระยะที่สองมีอาการไอถี่ๆ ติดกันเป็นชุด 5-10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง วูป เด็กเล็กอาจจะหายใจไม่ทันจนหน้าเขียวได้
- ระยะสุดท้ายคือระยะฟื้นตัว กินเวลาทั้งสิ้น 6-10 สัปดาห์หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน ทำให้เสียชีวิตจากการติดเชื้อแทรกซ้อนทำให้ปอดอักเสบ หรือมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง
ในปัจจุบันสามารถลดการแพร่ระบาดของเชื้อลงได้มากโดยการรับวัคซีน กรมควบคุมโรค จึงขอแนะนำผู้ปกครองให้พาบุตรหลานไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาลตามกำหนดอายุให้ครบถ้วน ถ้าไอหรือจามให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน และหากมีอาการไอติดต่อกันเกิน 10 วัน หรือมีอาการไอถี่ๆ ติดกันเป็นชุด ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป
ไม่อยากปวดใจยามเห็นเบบี๋ไออย่างรุนแรงและร้องไห้งอแงจากอาการไอกรน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องดูแลเจ้าตัวเล็กด้วยความใส่และพาไปฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนนะคะ