แอลดี (Learning Disabilities, LD)
หรือโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ เป็นความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ไม่มีโรคแทรกซ้อนทางด้านร่างกาย แต่จะทำให้เกิดปัญหาในการพัฒนา การเรียนรู้เฉพาะด้าน ซึ่งพบกับเด็กตั้งแต่แรกเกิด และไม่สามารถตรวจวินิจฉัยโรคนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
สิ่งหนึ่งที่ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจ คือ โรคนี้เป็นโรคเกี่ยวกับสารเคมีในสมองเป็นความบกพร่องในการเรียนรู้ด้านต่างๆ ไม่สามารถหายขาดได้ แต่ความผิดปกติแต่ละด้านที่บกพร่องไป เราสามารถสอนลูกให้รู้จักหนทางการเรียนรู้แนวใหม่ทดแทนได้ค่ะ
ความผิดปกติของเด็ก LD
ความผิดปกติด้านการอ่าน
อาจสังเกตได้ยาก หากไม่ให้ลูกๆ อ่านหนังสือให้ฟัง เพราะจะเป็นความผิดปกติทางด้านการอ่านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือไม่ได้ สะกดคำผิด อ่านช้า เรียงลำดับอักษรผิด เป็นต้น
ช่วยเหลือได้โดย : ใช้การฟังจากซีดี หรือคนอื่นอ่านให้ฟัง
ความผิดปกติด้านการเขียน
สังเกตได้จากเด็กจะเขียนไม่ได้ แต่สามารตอบปากเหล่าได้ เขียนช้ามาก เขียนตัวหนังสือกลับไปกลับมา หากต้องส่งการบ้านด้วยลายมือ ถึงทำทั้งวันก็ผิดทั้งหมด เขียนลอกตามเพื่อนก็ยังเขียนไม่ได้
ช่วยเหลือได้โดย : คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้การพิมพ์หรือการอัดเสียงพูดในการสื่อสารแทน
ความผิดปกติด้านการคำนวณ
เด็กจะไม่สามารถคิดเลขหรือคำนวณได้เลย สับสนตัวเลข ไม่เข้าใจในสัญลักษณะต่างๆ จับหลักการหรือสูตรมาคำนวณไม่ได้ หรือแม้แต่การมองเห็นเลขสลับกัน
ช่วยเหลือได้โดย : ฝึกลูกให้ใช้เครื่องคิดเลขในการคำนวณสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น การจับจ่ายเงินในการซื้อของ การเดินทาง
สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมคือเขาไม่ได้โง่ ไม่ได้ขี้เกียจ เพราะเด็กเหล่านี้มีคำตอบอยู่ในหัวทั้งหมด รับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถสื่อแสดงออกมาตามทักษะต่างๆ ได้เท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ที่กังวลว่าลูกจะมีไอคิวอีคิวน้อยกว่าคนอื่นหรือไม่ ขอบอกว่า โรคแอลดีและไอคิวเป็นคนละส่วนกัน หากให้เด็กวัดผลไอคิว ผลทดสอบก็จะขึ้นอยู่เขาตามปกติ แต่หากวัดเรื่องความสามารถทางการเรียนรู้ อาจพบว่าความสามารถเท่าเด็กประถม 1 เท่านั้น
การตรวจวินิจฉัยจะสามารถทำได้ด้วย การซักประวัติและการทำสอบโดยนักจิตวิทยาโดยใช้เครื่องมือในการทดสอบ สามารถทำได้เมื่ออายุ 6 ขวบขึ้นไป แต่คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ
ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกอาจเป็น LD ก็ขอให้เปิดใจ อย่าหนีความจริง อย่ารู้สึกอับอาย ในทางกลับกันควรรีบพาลูกไปตรวจ รับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางและปรับแนวทางการเลี้ยงดูให้เหมาะสมอย่าเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์แก่ตัวลูกนะคะ