องค์การอนามัยโลกได้ให้นิยามว่า “ท้องเสีย” (Diarrhea) หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
โดยอาจถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือด แม้หลายคนจะมีอาการท้องเสียบ่อยๆ แต่ก็ยังปฏิบัติตัว รวมถึงดูแลตัวเองในระหว่างที่เกิดอาการนั้นได้ไม่ดีพอ ถ้าคุณไม่อยากพลาด เรามีวิธีปฏิบัติตัวยามเกิดอาการ “ท้องเสีย” มาฝาก!!
- หยุดรับประทานอาหาร 2 ถึง 4 ชั่วโมง เพื่อให้ลำไส้หยุดการทำงานหลังจากนั้นจึงเริ่มรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและรสอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดอาหารรสจัดและอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผัก ผลไม้
- ดื่มเกลือแร่ผง (ORS) ผสมกับน้ำต้มสุกหรือใช้เกลื่อป่นผสมกับน้ำต้มสุก เพื่อทดแทนน้ำกับเกลื่อแร่ที่ร่างกายสูญเสียไปโดยดื่มในปริมาณน้อยๆ ไปเรื่อยๆ แต่จิบบ่อยๆ
- รับประทานโยเกิร์ตที่มีโปรไบโอติกเพราะแบคทีเรียมีชีวิตนี้จะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงบางชนิดและทำให้หายเร็วขึ้นหรือดื่มนมเปรี้ยวที่มีแล็กโตบาซิลลัส จะช่วยฟื้นฟูแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ปกป้องลำไส้ใหญ่
- เมนูที่แนะนำสำหรับผู้มีอาการท้องเสียได้แก่ กล้วย, ข้าว, แอปเปิ้ลหรือน้ำแอปเปิ้ล และขนมปังปิ้งแห้ง จะช่วยให้อาการท้องร่วงหายเร็วขึ้นได้โดยเฉพาะหากผู้มีอาการท้องเสียยังอยู่ในวัยเด็ก
- งดดื่มนม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่มีความหวาน เนื่องจากจะทำให้อาการท้องเสียแย่ลงกว่าเดิมจนกว่าจะหายท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงการกินยาหยุดถ่ายหรือยาแก้ท้องเสียยกเว้นแพทย์สั่ง เพราะจะทำให้ลำไส้ต้องกักเก็บเชื้อโรคเอาไว้นานขึ้น ทำให้ท้องอืด ปวด และแน่นท้องมากขึ้น ดังนั้นไม่ควรกินยาหยุดถ่าย แต่ควรถ่ายออกมาให้หมด
- รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง หรือ ยาลดไข้ รวมถึงรักษาสุขอนามัยพื้นฐานเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
ทั้งนี้ควรไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนหากมีอาการดังนี้…
- ท้องเสียนานกว่า 3 วัน
- อุจจาระมีเลือดปน หรือมีสีดำเหนียวเหมือนยางมะตอย (อาการของการมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร)
- ปวดท้องมาก ปวดท้องแม้ถ่ายอุจจาระแล้วหรือ คลื่นไส้ อาเจียน หรือ ตัวและตาเหลือง
- มีอาการขาดน้ำ เช่น เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือตะคริว
- มีไข้ร่วมกับท้องเสีย โดยไข้สูงกว่า 38.33°C ในผู้ใหญ่หรือสูงกว่า 38°C ในเด็ก