“น้ำตาล” ความหวานอาบพิษกับเรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้มาก่อน

0

คงไม่มีใครปฎิเสธว่ารสชาติแห่งความหวานมักชวนให้หลายคนติดอกติดใจแต่รู้หรือไม่การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินความจำเป็นนั้นเป็นบ่อเกิดของโรคเรื้อรังอีกหลายชนิดตามมา รวมทั้งเป็นต้วการสำคัญที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวด้วย!

“น้ำตาล” ฟินได้แค่ช่วยชูรสอย่างเดียว…

suger-sweet-poison (3)

หากไม่นับนำเปล่าแล้วเกือบทุกสิ่งอย่างที่เราหยิบเข้าปากนั้นมักมีนำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ไม่มากน้อย ซึ่งในความเป็นจริงนำตาลไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด มีแค่ประโยชนฺในแง่ที่ให้พลังงานแต่ถึงแม้เราจะไม่กินนำตาลเลยร่างก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ปกติเพราะเรามักได้รับนำตาลจากธรรมชาติที่มากเกินความต้องการอยู่แล้วเช่นจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เรากินอย่ทุกวันไม่ว่าจะเป็นข้าว ก๋วยเตี๋ยว ผัก และผลไม้ต่างๆ

ปริมาณที่ควรกินจริงๆ

สำหรับปริมาณนำตาลที่คนเราควรได้รับต่อวันนั้นทางองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 10% ของปริมาณที่ได้รับในหนึ่งวันหรือไม่ควรเกินว้นละ 6 ช้อน (24กรัม) ซึ่งเป็นปริมาณสำหรับคนปกติทั่วไปที่ใช้พลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี

หากแต่กินนำตาลในปริมาณมีมากเกินความจำเป็นมันจะถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นไขมันสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อไขมัน ผนังหลอดเลือด และส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งการสะสมของไขมันจะทำให้ร่างกายขยายขนาดจากคนผอมอาจกลายเป็นอ้วน

โดยเฉพาะเมื่อคุณอายุมากขึ้นและไม่ได้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและนำไปสู่โรคร้ายแรงอื่นๆตามมา เช่น เบาหวานที่เกิดจากการดื้อต่ออินซูลิน โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบโรคไขข้อเสื่อมนอกจากนี้ในด้านความงามนำตาลยังเป็นตัวการร้ายที่เข้าไปทำรายคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวพรรณเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้เช่นเดียวกัน

แต่ถึงอย่างนั้น “น้ำตาล” ก็ช่วยผ่อนคลายนะ… หราาาาา

อย่างไรก็ตามในความร้ายดาจของน้ำตาลก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างในแง่ที่ว่าความหวานจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย และอารมณ์ดีด้วยเหตุนี้หลายคนจึงติดใจในรสหวาน เพราะกินแล้วอารมณ์เบิกบานกระปรี้กระเปร่า และคลายเครียด

suger-sweet-poison (2)

แต่ก็พบว่าความรู้สึกดังกล่าวเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดังที่ Dr.John Yudkin แพทย์ชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาแบบแผนการบริโภคอาหารของผู้สูงอายุและพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ชอบกินของหวาน เพราะสามารถให้พลังงานกับร่างกายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยและการดูดซึมที่สลับซับซ้อนแต่คนกลุ่มนี้มักเกิดอาการหงุดหงิดง่ายเมื่อน้ำตาลในเลือดตำแต่ถ้าได้รับนำตาลเข้าไปก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีซึ่งเรียกว่าภาวะติดรสหวานหรือ Carbolic   ซึ่งคล้ายกับอาการติดเหล้าหรือ Alcoholic

ถ้าจะเริ่มลด “น้ำตาล” ต้องทำไง

หากวันนี้คุณยังติดใจในความอร่อยของรสหวานที่คุ้นเคย อาจเริ่มต้นจากลดปริมาณความหวานให้น้อยลงโดยไม่จำเป็นต้องงดแบบหักดิบเพราะอาจทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดและเครียดได้ นอกจากนี้ควรใส่ใจการกินเพื่อสุขภาพให้มากขึ้นโดยเลือกบริโภคกลูโคสที่ให้ผลดีต่อร่างกาย หรือกลูโคสที่เกิดจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่พบได้ในข้าวกล้อง ข้าวโพด ธัญพืช และถั่วต่างๆ

suger-sweet-poison (1)

ซึ่งร่างกายจะค่อยๆ ย่อยอละดูดซึมไปใช้ต่างจากกลูโคสที่ได้จากนำตาลซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกดูดซึมไปใช้ทันทีทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักและก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว

หาความหวานอย่างอื่นแทน

ในปัจจุบันมีทางเลือกอื่นๆ สำหรับคนชอบรสหวานเช่นมีการผลิตสารให้ความหวานทดแทนนำตาลออกมามากมายซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักมีคุณสมบัติที่ให้พล้งงานต่อร่างกายหรืออาจให้น้อยมาก รสชาดจะหวานคล้ายนำตาลและไม่ทำให้ฟันผุหรือกระตุ้นให้น้ำตาลในเลือดสูง เช่น Sucralose Aspsrtame Stevia หรือหญ้าหวานที่ทดแทนความหวามได้ดีที่สุด

suger-sweet-poison (4)

เพราะมาจากธรรมชาติและไม่พบรายงานผลแทรกซ้อนกลุ่มสารให้ความหวานเหล่านี้ทั้งยังเหมะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมนำหนักและผู้ป่วยโรคเบาหวานแต่อย่างไรก็ตามควรอยู่ในปรมาณที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำเท่านั้น

ที่มา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *