ระบบเผาผลาญมีผลต่อการลดความอ้วนโดยตรง เพราะถ้าระบบเผาผลาญไม่ดี แคลอรี่ที่ถูกเพิ่มเข้าไปในร่างกายจะเผาออกไปได้น้อยลง เมื่อแคลอรี่เยอะและสะสมก็กลายเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง สำหรับหลายคนเมื่อก้าวเข้าสู่วัย 30+ จึงเริ่มรู้สึกได้ว่า “กินเหมือนเมื่อก่อน แต่น้ำหนักกลับขึ้นเร็วกว่า”
หลายๆ คนเมื่อตั้งเป้าลดน้ำหนักแล้วก็อยากจะให้เป็นเป้าหมายที่ใหญ่ๆ ลดได้เยอะๆ แต่ในทางตรงกันข้ามแล้วการลดน้ำหนักได้เยอะๆ อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แนะนำ
หนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายที่กำลังเป็นที่นิยมคือ HIIT เพราะเป็นแนวทางการออกกำลังกายที่สามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากในระยะเวลาสั้น ๆ ข้อมูลจาก ออกกำลังกายแบบ HIIT ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร? พูดถึง HIIT ว่า
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อสุขภาพของตัวเอง ไม่นานหลังจากที่เพื่อนๆ เริ่มออกกำลังกาย จะเริ่มเห็นและรู้สึกถึงประโยชน์ที่การออกกำลังกายจะมีต่อร่างกายและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของตัวเองค่ะ
การออกกำลังกายเป็นประจำแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาสุขภาพของเราอย่างมีนัยสำคัญ ประโยชน์ที่ดีที่สุดของมันรวมถึงการช่วยให้เพื่อนๆ ประสบความสำเร็จและรักษาน้ำหนักตัวที่ดีรักษามวลกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้
เพราะเวลาที่จำกัด ทำให้เพื่อนๆ หลายคนเลือกที่จะข้ามการออกกำลังกายประจำวันไป แต่ความจริงแล้ว แม้จะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็ช่วยให้เราได้ประโยชน์จากการออกกำลังกาย อย่างที่เราเคยเห็นการแชร์ต่อข้อมูลบนอินเตอร์เน็ททั่วไป จะเห็นว่า 5 นาทีก็ลดอ้วนได้! แบบนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?
ในขณะที่อดอาหาร การลดปริมาณแคลอรี่จะลดอัตราการเผาผลาญซึ่งจะชะลอการลดน้ำหนัก ในทางตรงกันข้ามการออกกำลังกายเป็นประจำนั้นแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มอัตราการเผาผลาญของคุณซึ่งจะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นและช่วยให้เพื่อนๆ ลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่องค่ะ
ว่ากันว่า จะลดน้ำหนัก ต้องพึ่งการควบคุมอาหารที่ 80% และอีก 20% เป็นเรื่องของการออกกำลังกาย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอีกหนึ่งปัจจัยที่ผ่านการศึกษามาแล้ว พบว่า การนอนหลับอย่างเพียงพอ ช่วยลดน้ำหนักด้วยเหมือนกัน
มีประโยคๆ หนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเพื่อนๆ ที่มีเป้าหมายลดน้ำหนักหรือแม้แต่เพื่อสุขภาพ “ออกกำลังกาย เลือกอาหารที่มีประโยชน์ อดทน แล้วร่างกายจะให้รางวัลคุณ”
เนื่องจากการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชราภาพสำหรับทุกคน ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่กระดูกของเราก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้นซึ่งหมายถึงโอกาสที่จะแตกหักและสึกหรอน้อยลงในช่วงที่อายุมากขึ้น