สังคมออนไลน์ทุกวันนี้ มีการแชร์ข้อมูลสุขภาพต่างๆ มากมาย ทั้งที่เป็นความจริง มีแหล่งอ้างอิงทางวิชาการที่เชื่อถือได้ และเรื่องที่สร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค อาทิ เรื่องการดื่มนมที่มีความบิดเบือนจากข้อมูลทางด้านโภชนาการ ทั้งที่ความจริงแล้ว นมเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสำหรับทุกวัย
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้พ่อแม่จำนนไม่น้อยเลี้ยงลูกด้วยการ “ใช้จอ” ไม่ว่าจะเป็น มือถือ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ โดยหารู้ไม่ว่าการใช้สื่อผ่านจอในการเลี้ยงเด็กเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเลย ไม่ได้ช่วยในการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้แย่ลง
ยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นคนนั่งก้มหน้าใช้มือถือหรือแท็บเล็ตกันทั้งนั้น ที่น่าเป็นห่วงคือ ไม่เฉพาะแต่ผู้ใหญ่เท่านั้น พ่อแม่มือใหม่หลายบ้านยังใช้มือถือหรือแท็บเล็ตกับเจ้าตัวเล็ก เสมือนเป็นของเล่นดึงความสนใจให้เบบี๋อยู่นิ่งไม่งอแง โดยหารู้ไม่ว่าเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของเด็ก!
แต่หากไม่ได้เป็นอย่างความคาดหวัง ก็อย่าเพิ่งกดดันลูกนะคะ สิ่งที่ควรพิจารณาถึงสาเหตุปัญหาในอันดับต้นๆ เลย คือ เรื่องของความบกพร่องทางสุขภาพ ที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของลูกค่ะ
สมองของลูกนั้นสามารถจะพัฒนาได้ตั้งแต่แรกเริ่มที่ลูกเกิด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงมีส่วยช่วยอย่างมากในการพัฒนาสมองของลูกน้อย แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นพัฒนาสมองของลูกเราจะต้องทราบถึงความสามารถในด้านต่างๆ ของลูกในวัยนี้
คุณพ่อคุณแม่หลายต่อหลายคนเกิดความไม่พึงใจ เมื่อพบว่าลูกของเราดูเป็นเด็กที่ไม่มั่นใจ ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่รู้จักปรับประยุกต์สิ่งต่างๆ รอบตัว พูดง่ายๆ คือไม่มีความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง …แต่ก่อนที่จะหงุดหงิดผิดหวังกับลูกลองใช้วิธีง่ายเพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้ลูกได้ฝึกความคิดสร้างกันดีกว่าค่ะ เริ่มต้นด้วยสอนลูกให้มองภาพรวม มองกว้างๆ คิดให้กว้างๆ ก่อน
วิตามินและเกลือแร่เป็นสารอาหารสำคัญและเป็น 1 ใน 5 ของสารอาหารหลัก 5 หมู่ โดยเกลือแร่บางอย่างทำหน้าที่ซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอ และวิตามินทำหน้าที่เป็นตัวอย่างให้สารอาหารต่างๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น สำหรับเจ้าตัวเล็กแล้ว
ใครว่าเด็กๆ วัยเบบี๋ที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน แถมทำตาแป้วๆ ใส่คุณพ่อคุณแม่…??? แท้ที่จริงแล้วเห็นเด็กๆ แบบนี้หนูๆ ก็มีงานต้องรับผิดชอบนะคะ (อ่านมาถึงตรงนี้คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่ง งง ค่ะว่าเด็กๆ วัยเบบี้เขาทำงานอะไรกัน)
โดยได้มีการศึกษาผู้หญิงตั้งครรภ์ในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนคลอด ให้อ่านหนังสือเรื่องเดิมโดยอ่านออกเสียงถึง 67 ครั้ง พบว่าหลังคลอดได้ 3 วัน ช่วงที่ทารกน้อยได้ฟังหนังสือเรื่องเดิมทารกจะดูดนมแรงขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับทารกที่ไม่ได้ฟัง แต่ทำไมเราจึงจำเรื่องราวในวัยทารกไม่ได้กันนะ??
การคลานเป็นพัฒนาการด้านร่างกายที่สำคัญของทารก เพราะเป็นพื้นฐานไปสู่ การเดิน เพราะการคลานนั้นต้องอาศัยกล้ามเนื้อแขนและขาที่ต้องเคลื่อนไหวสัมพันธ์กัน การคลานจะช่วยให้ลูกเกิดการเรียนรู้เรื่องการควบคุมตัวเอง รวมไปถึงการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเรียนรู้คำสั่งของพ่อแม่ และเมื่อลูกคลานได้ นั่นหมายความว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าจะทำงานสัมพันธ์กับสมอง ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อพัฒนาการทางร่างกายของลูก เมื่อลูกน้อยอายุได้ 6 เดือน ส่วนใหญ่จะพลิกคว่ำพลิกหงาย กลิ้งตัวไปมาได้แล้ว เด็กบางคนมีพัฒนาการเร็วมากคลานได้ไวจนแทบไล่จับไม่ทัน ขณะที่บางคนได้เพียงกระดึ้บ ๆ และบางคนเพิ่งจะคว่ำด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดีพบว่ามีเด็กจำนวนมากที่มีพัฒนาไม่เป็นไปตามที่กล่าวมาค่ะ…