เช็คความเสี่ยง คุณแม่ตั้งครรภ์ท่านใดที่ควร “เจาะน้ำคร่ำ”

0

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “เจาะน้ำคร่ำ” ผ่านหูผ่านตามาบ้าง โดยเฉพาะหากประเด็นนั้นเกี่ยวข้องกับหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงการตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ของเบบี๋ในครรภ์

  • ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักว่า “การเจาะน้ำคร่ำ” คืออะไร
  • พร้อมเช็คความเสี่ยงกันค่ะว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ท่านใดบ้างที่ควร “เจาะน้ำคร่ำ”

“น้ำคร่ำ”

คือของเหลว ใส สีเหลืองอ่อนที่อยู่ล้อมรอบทารกในครรภ์ ส่วนประกอบของน้ำคร่ำประกอบไปด้วยน้ำประมาณ 98% และสารต่างๆ อีกประมาณ 2% ซึ่งจะมีเซลล์ของทารกที่หลุดออกมาปนอยู่ด้วย ด้วยความก้าวน้าทางการแพทย์ทำให้สามารถเจาะดูดเอาเซลล์เหล่านี้มาทำการเพาะเลี้ยง แล้วมาศึกษาดูโครโมโซม หรือพันธุกรรม เพื่อจะค้นหาว่ามีความผิดปกติ ความพิการในทารกที่อยู่ในครรภ์

การเจาะน้ำคร่ำจะกระทำได้ก็เมื่อตั้งครรภ์ประมาณ 4 เดือน แล้วนำมาเข้ากระบวนการทางห้องปฏิบัติการ แพทย์จะใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเป็นตัวช่วยในการเจาะหลังจากฉีดยาชาเฉพาะที่แล้ว ใช้เข็มเจาะผ่านผนังหน้าท้องมารดา ผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกในตำแหน่งที่ปลอดภัย แล้วดูดน้ำคร่ำออกมาตรวจ ซึ่งใช้เวลาภายใน 2 สัปดาห์ ก็จะทราบผลการตรวจ

ข้อบ่งชี้อะไรบ้าง…

ที่ทำให้คุณแม่ต้องรับการตรวจโดยวิธีการเจาะน้ำคร่ำ

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%b0%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b9%88%e0%b8%b3

  1. คุณแม่ที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก คืออายุ 35 ปีขึ้นไป
  2. คุณแม่เคยมีประวัติคลอดบุตรที่มีโครโมโซมผิดปกติ หรือมีความผิดปกติทางพันธุกรรม หรือพิการ
  3. คุณแม่ที่มีผลการตรวจเลือดพบว่าผิดปกติ
  4. คุณแม่มีประวัติแท้งบ่อย
  5. แพทย์ตรวจพบความพิการภายนอกของทารก จากการตรวจอัลตราซาวด์
  6. ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้าผิดปกติ

ทั้งนี้ การเจาะตรวจน้ำคร่ำอาจจะก่อผลแทรกซ้อนได้ เช่น การแท้ง หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ดังนั้น การตรวจดังกล่าวจึงจะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้นนะคะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *