ในช่วงตั้งครรภ์ร่างกายจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง เชื้อยีสต์หรือราบริเวณช่องคลอดจึงเจริญเติบโตมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดอาการคันและตกขาวได้ โดยอาการคันช่องคลอดอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อชนิดอื่นๆ เช่น แบคทีเรีย โปรโตซัว เริม
คำถามคือ… หากคุณแม่ปล่อยไว้ไม่รักษาจะมีผลต่อเบบี๋หรือไม่?
อาการคันช่องคลอดจากตกขาวที่เพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่ปกติของระหว่างตั้งครรภ์ แต่หากคุณแม่มีอาการคันมาก หรือพบว่าตกขาวมีความผิดปกติ เช่น เปลี่ยนเป็นสีเขียว เหลือง มีกลิ่น หรือสังเกตเห็นอะไรผิดปกติบนผิวหนังบริเวณปากช่องคลอด เช่น เป็นแผล หรือมีตุ่มนูน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเกิดการติดเชื้อบริเวณช่องคลอดได้
แม้คุณแม่จะไม่ได้รักษาเชื้อราในช่องคลอดให้หายก็ตาม แต่เชื้อราในช่องคลอดจะไม่สามารถไหลผ่านไปสู่ทารกในครรภ์แต่อย่างใด กล่าวคือ เชื้อราในช่องคลอดแม่นั้นจะไม่ผ่านไปสู่ลูก ทั้งนี้ อย่าได้นิ่งนอนใจหรือปล่อยผ่านโดยไม่ได้ทำการรักษาให้หายขาด เพราะมีโอกาสที่การติดเชื้อนั้นจะส่งผลต่อเบบี๋ในท้องได้ ดังนี้
- “แม่ท้องมีเชื้อราในช่องคลอด” หากแม่ท้องเป็นเชื้อราในช่องคลอดแล้วไม่ได้รักษาให้หาย และเป็นเชื้อราในช่องคลอดขณะที่คลอดลูกผ่านทางช่องคลอด จะทำให้เด็กอาจมีเชื้อราในลิ้น ในปาก และก้นได้
- “แม่ท้องมีภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย” หากเกิดภาวะนี้ในคุณแม่ท้อง ต้องได้รับการรักษาให้หาย เนื่องจากภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด และทำให้มดลูกอักเสบจากติดเชื้อในมดลูกหลังคลอดได้
- “แม่ท้องติดเชื้อเริมบริเวณปากมดลูก” เชื้อไวรัสที่อยู่บริเวณปากมดลูกและอวัยวะเพศ อาจเข้าสู่มดลูกตามหลังการแตกของถุงน้ำคร่ำหรือจากการที่ทารกคลอดผ่านช่องคลอดแล้วสัมผัสกับเชื้อไวรัสที่อยู่บริเวณนั้น อาจทำให้ทารกมีโอกาสติดเชื้อเริมได้
- “แม่ท้องติดเชื้อ HPV ที่ช่องคลอด” ระหว่างการคลอด ลูกมีโอกาสกลืนน้ำเมือกจากช่องคลอดของแม่ และอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจและในกล่องเสียงของทารกได้ แต่พบได้น้อย
อย่าปล่อยให้อาการคันช่องคลอดลุกลามไปไกล ควรรีบไปพบคุณหมอ เพื่อวินิจฉัยและรักษาให้หายขาดก่อนการคลอด ที่สำคัญไม่ควรซื้อยามาใช้เองนะคะ