ถือเป็นอีกหนึ่งมื้ออาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเจ้าตัวซน สำหรับ “อาหารกลางวัน” และความที่เป็นมื้อที่ลูกมักกินที่โรงเรียน อาจทำให้เจ้าตัวซนไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เนื่องจากอาหารกลางวันของโรงเรียนบางแห่งอาจมีคุณภาพไม่ดีนัก เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกได้ค่ะ
ข้อมูลจาก พญ.นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวถึงคุณภาพอาหารกลางวันและโภชนาการเด็กวัยเรียนว่า
จากการสำรวจภาวะโภชนาการในเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี พบว่า มีทั้งภาวะขาดและเกิน โดยในส่วนที่ขาดหรือผอมเกิน จะมีทั้งผอมชนิดขาดอาหารแบบฉับพลัน และผอมจากขาดอาหารเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะกระทบกับความสูงของเด็ก ทำให้กลายเป็นเตี้ย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ถือว่าดีขึ้น แต่ยังพบอยู่ ส่วนมากพบในเด็กชนบทมากกว่าเด็กเมือง ขณะที่ปัญหาน้ำหนักเกินหรือภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนพบว่า เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2546 พบร้อยละ 5 ปี 2551 พบร้อยละ 9.7 และล่าสุดที่สำรวจ คือ ปี 2557 พบร้อยละ 13.9 มักพบในเด็กเมืองมากกว่า
ปัญหาเหล่านี้มาจากพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งจากการสำรวจคุณภาพอาหารกลางวันเด็กพบว่า มักเป็นลักษณะเมนูที่ให้แต่พลังงาน ส่วนสารอาหารอื่นมีไม่ครบ โดยมักจะขาดสารอาหาร ได้แก่
- ธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ได้จากตับและเลือดสัตว์
- ขาดโฟเลต ซึ่งได้จากผัก ผลไม้
- ขาดวิตามินเอ ที่ได้จากตับ
- แคลเซียม ที่ได้จากนม ซึ่งทางโรงเรียนมีนมโรงเรียนให้อยู่แล้ววันละ 1 กล่อง แต่เพื่อสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กวัยซนผู้ปกครองต้องให้กินนมเพิ่มเมื่ออยู่บ้านด้วย
ทั้งนี้ เมนูอาหารกลางวันที่แนะนำ คือ มีผักทุกมื้อ มีไข่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ฟอง มีตับหรือเลือดสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผลไม้สัปดาห์ละ 3 วัน ที่เหลือเป็นขนมหวานน้อย เช่น ถั่วเขียวต้ม ไม่ใช่ให้กินพวกขนมปัง คัสตาร์ด เป็นต้น เพราะทำให้เด็กอ้วน
หลายคนเข้าใจว่ารูปร่างสูงหรือเตี้ยเป็นเรื่องกรรมพันธุ์ล้วนๆ แต่ที่จริงไม่ใช่ ถ้าได้รับอาหารดี เพียงพอก็ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ได้ นอกจากนี้ ความสูงมีความสัมพันธ์กับไอคิวหรือความฉลาดทางสติปัญญาที่เพิ่มขึ้นด้วย ถ้าสูงก็ไอคิวดี ส่วนความอ้วนนั้นไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจนเรื่องไอคิวแต่เด็กที่อ้วนพบว่าจะมีปัญหาเรื่องการนอนหลับไม่สนิทตอนกลางคืน แล้วมาง่วงตอนกลางวัน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเรียน ฉะนั้นเรื่องอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจ