เมื่อลูกน้อยเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยเข้าเรียน สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของการขยับขยาย จัดพื้นที่ส่วนตัวให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบดูแลช่วยเหลือตัวเอง การจัดห้องนอนลูกก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้นะคะ เทคนิคพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงในการจัดห้องนอนของลูกมีอะไรบ้าง มาดูกันเลย…
ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการตกแต่งห้องนอนเด็ก อายุ 5-12 ปี ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึง คือ การเลือกวัสดุที่ปลอดภัย ทั้งวัสดุที่ใช้ในการผลิตและรูปแบบ เช่น สีทาห้อง หรือ วัสดุที่ใช้ในการประกอบเฟอร์นิเจอร์ต้องไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายเจือปน เพราะลูกต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันในการนอนหลับพักผ่อนในห้องนอน หากสูดดมสารเคมีที่ปนเปื้อนเข้าไปทุกวันๆ ย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ก็ต้องมีรูแปแบบที่เหมาะสม เช่น ไม่มีเหลี่ยมมุมหรือวัสดุที่แตกหักง่าย อย่างแก้วหรือกระจก เพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
เลือกสิ่งของที่ใช้งานง่าย
เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านสำหรับตกแต่งห้องนอนลูก ควรมีฟังก์ชั่นใช้งานที่ไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย ภาพติดผนัง นาฬิกาตกแต่งบ้าน ตุ๊กตา โคมไฟอ่านหนังสือ ฯลฯ และควรจัดวางในที่ที่เหมาะสมให้ลูกสามารถใช้งานด้วยตัวเองได้ เป็นการสนับสนุนให้ลูกได้ทำอะไรด้วยตัวเอง เกิดความภาคภูมิใจด้วยค่ะ
เลือกของแต่งห้องให้เหมาะสมกับวัย
เด็กในวัยนี้เป็นวัยแห่งการสร้างสรรค์และจินตนการ การแต่งห้องย่อมต้องแตกต่างจากผู้ใหญ่ เช่น ติดสติกเกอร์หรือวอล์เปเปอร์ รูปสัตว์ เตียงนอนเป็นรูปรถยนต์ เป็นต้น
แต่งห้องตามความสนใจของลูก
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดทางความคิด และขณะเดียวกันก็ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นมีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่ในห้องตัวเอง เช่น หากลูกสนใจเกี่ยวระบบสุริยจักวาล ก็อาจแต่งห้องเป็นแนวอวกาศ เช่น ใช้โคมไฟรูปดาว แขวนโมบายเกี่ยวกับระบบจักวาล เป็นต้น
สีสันช่วยได้
โดยธรรมชาติเด็กมักจะชอบสีสันสดใส ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตา การ์ตูน ผ้าปู ฯลฯ จะส่งผลโดยตรงทางอารมณ์ของเด็กอย่างมาก สำหรับสีสันควรเน้นเป็นสีที่ให้ความรู้สึกเย็น และในเชิงจิตวิทยาที่ดีจะช่วยให้เด็กอารมณ์เย็น ไม่งอแง
นอกจากปัจจัยเหล่านี้ที่ว่ามา ห้องนอนของลูกควรเป็นห้องที่อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก และหมั่นทำความสะอาดสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่นอน ผ้าปู พรม ผ้าม่านซักทำความสะอาดบ่อยๆ รวมถึงฝุ่นผงต่างๆ เพื่อไม่ให้สะสมเชื้อโรค และห่างไกลจากโรคภูมิแพ้อื่นๆ ก็จะทำให้ลูกมีสุขภาพกายและสุขภาพสมองที่ดีค่ะ