สร้างความสับสนให้ประชาชีได้ไม่น้อย สำหรับการแชร์บทความผ่านทางสังคมออนไลน์ซึ่งเนื้อหาหลักมีใจความสำคัญสรุปว่า…
มะนาวสามารถแก้พิษงูได้!
ด้วยการบรรยายที่ดูน่าเชื่อถือทำเอาหลายคนเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย แถมยังแชร์ต่อๆ ไปอีก เพราะงูกัดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
งานนี้เราเลยไม่พลาดที่จะเสาะหาคำตอบว่าเจ้ามะนาวลูกเล็กๆ นี้ สามารถแก้พิษงูได้จริงหรือ??
แท้จริงแล้วบทความนี้น่าจะเพี้ยนมาจากตำรายาพื้นบ้าน ซึ่งมีบันทึกไว้ว่ามะนาวช่วยรักษาพิษงูได้ แต่ใช้ร่วมกับยาสมุนไพรอื่นด้วย และยังไม่มีหลักฐานเชิงวิจัยว่ายาตำรับนี้มีประสิทธิภาพแค่ไหน หรือใช้กับพิษประเภทใด
ดังนั้น มะนาวแก้พิษงูไม่ได้ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่ามะนาวสามารถแก้พิษงูได้
และพิษของงูก็มีหลายประเภท เช่น พิษงูเห่าจะมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทพิษงูแมวเซาจะมีผลต่อระบบเลือด ส่วนการรักษาต้องรักษาเจาะจงต่อพิษนั้นๆ เช่น ให้เซรุ่มจำเพาะต่อพิษงูที่โดนกัด รักษาตามอาการพิษที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ในบทความดังกล่าวยังอ้างว่าการดื่มน้ำมะนาว 1 ลูกนั้นเพื่อให้น้ำมะนาวไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร เมื่ออาเจียนออกมาแล้วมีเลือดปนเล็กน้อยแสดงว่าพิษงูหมดฤทธิ์แล้ว ตรงนี้เป็นจุดที่ผิดหลักความเป็นจริงมาก กล่าวคือ พิษจากงู มี 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ พิษต่อระบบประสาท,พิษต่อระบบเลือด และพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ นั่นหมายความว่า ไม่มีพิษงูชนิดไหนแล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร
อีกประเด็นก็คือ เวลางูกัดไม่ได้ปล่อยพิษทุกครั้ง หรือถ้าปล่อยก็ไม่ได้ปล่อยเต็มที่ทุกครั้ง เวลาไปโรงพยาบาลคนส่วนมากแค่นอนดูอาการ ถ้ามีอาการของพิษงูรุนแรงเลยรักษา ดังนั้นไม่ว่าจะใช้มะนาว, มะกรูด, มะเฟือง, มะไฟ, มะระ หรือมะยม ก็หายเหมือนกัน เพราะว่าไม่ว่าทำอะไรก็หาย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด
- ให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ถูกกัดเพื่อชะลอการดูดซึมของพิษงูควรนอนนิ่งๆ จัดให้ส่วนที่ถูกงูกัดอยู่ระดับต่ำกว่าหัวใจ
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ห้ามกรีด ดูดแผล หรือกินยาที่มีส่วนผสมของแอสไพรินเด็ดขาด
- ไม่ควรขัดชะเนาะเพราะมักทำไม่ถูกวิธี รัดแน่น และนานเกินไปทำให้เกิดเนื้อเยื่อตายจากการขาดเลือด
- นำงูมาด้วยถ้าทำได้ ในกรณีที่งูหนีไปแล้วไม่จำเป็นต้องไล่จับเพราะแพทย์สามารถวินิจฉัยได้แม้ไม่เห็นงู
- รีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด