“โรคแพ้ภูมิตัวเอง”
หรือโรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus) เป็นโรคภูมิต้านทานตนเองทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อาการของโรคจะเป็นๆ หายๆ มีการกำเริบและสงบเป็นระยะ พบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ไม่อยากเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัวก็ต้องรู้สัหญญาณเตือนของโรคนะคะ
ข้อมูลจาก นพ.ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า…
สาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยอื่น ส่งเสริมทำให้เกิดโรค ได้แก่ การติดเชื้อ ยา แสงแดด สารเคมีในสิ่งแวดล้อม อาการของโรคนี้จะแสดงความผิดปกติในร่างกายหลายระบบร่วมกัน เช่น ผื่นโรค SLE ระบบผิวหนัง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อและข้อ เม็ดเลือด ไต ระบบทางเดินหายใจ
ดังนั้น ผู้ป่วยโรค SLE จึงมีอาการแสดงทางคลินิกที่หลากหลาย และมีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรง เช่น มีผื่น ปวดข้อ ไปจนถึงอาการแสดงที่มีความรุนแรงถึงเสียชีวิต เช่น ไตอักเสบ
ดังนั้น การดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละรายจึงมีความแตกต่างกัน สำหรับการวินิจฉัยโรค SLE จะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วย และผลเลือด โดยมีเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติอย่างน้อย 4 ใน 11 ข้อ ได้แก่
- ผื่นบริเวณใบหน้าและมีการกระจายเป็นรูปผีเสื้อ
- ผื่นผิวหนังชนิดที่เรียกว่าผื่นดีสคอยด์ พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ใบหู ลำตัว และแขนขา
- อาการแพ้แดด โดยมีผื่นผิวหนังแดงอย่างรุนแรงเมื่อโดนแดด
- แผลในปาก
- ข้ออักเสบ
- ไตอักเสบ โดยปริมาณโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ
- อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
- เยื่อหุ้มปอดหรือหัวใจหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- อาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ (ที่ไม่ได้เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ)
- ตรวจพบ แอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด
- ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือการตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี หรือการตรวจเลือดพบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส
เนื่องจากการรักษาโรค SLE มีระยะการรักษาที่ยาวนาน นอกจากการรักษาโรคแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตนเอง อย่างดี หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพ้ รวมถึงติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องค่ะ