รู้สึก “คันก้น” บ่อยๆ อยู่หรือเปล่า?
อาการคันก้นนั้นจะรู้สึกคันๆ รอบทวารหนัก บางคนเป็นพักๆ แต่บางคนพบว่ารู้สึกคันก้นอยู่ตลอดเวลา จุดสังเกตคือมักคันก้นหลังจากเข้าห้องน้ำ และอาการจะหนักขึ้นอีกเมื่อพบว่าตัวเองเครียด หรืออยู่ในที่ๆ อากาษร้อนชื่น แน่นอนว่า การคันก้น ส่งผลกับร่างกายเหมือนกันนะ เพราะอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นติดเชื้อได้นั่นเอง
แบบนี้เราจึงต้องมาหาสาเหตุกันก่อนว่า อาการคันก้นเกิดจากอะไรกันแน่?
11 ข้อเช็คอาการ “คันก้นบ่อย”
- ดูว่ารอบทวารหนักเปียกและอับหรือไม่: อาจเกิดจากเหงื่อออกมาก หรือเข้าห้องน้ำแล้วเช็ดไม่สะอาด
- เกิดโรคฉับพลัน: เช่น มีอาการภูมิแพ้ ผื่นขึ้น
- โรคที่เกิดในช่วงนั้นๆ: สำรวจดูว่าเรามีอาการของโรคสะเก็ดเงินหรือโรคผิวหนังอักเสบอยู่หรือไม่?
- ท้องผูกเรื้อรัง: อาจทำให้มีอุจจาระไหลซึมออกมารอบๆ ปากทวารหนักและเกิดอาการคัน
- กลั้นอุจจาระไม่ได้: ทำให้อุจจาระซึมออกมาได้เหมือนกัน เป็นสาเหตุของอาการคัน
- ติดเชื้อ: ติดเชื้อในผิวหนังรอบปากทวารหนัก เช่น ติดเชื้อรา หิด เริม หูด รวมถึงพยาธิ
- โดนสิ่งระคายเคือง: สังเกตว่าเราใช้สิ่งของอะไรที่ทำให้ระคายเคืองอยู่หรือไม่?
- เป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก: ก่อให้เกิดอาการคันได้
- ภาวะโรคร้ายแรง: โรคร้ายแรงบางโรคมีภาวะที่ทำให้เกิดอาการคัน เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไต โรคตับ
- ใช้ยาปฏิชีวนะ: ส่งผลให้ท้องร่วง ทำให้คันทวารหนัก ควรสอบถามแพทย์และเภสัชกร
- อาหารเป็นตัวการ: โดยเฉพาะอาหารที่มีรสจัด รวมไปถึงพวกชีส ผลิตภัณฑ์นม กินชา เบียร์มากเกินไป
ถ้าคัน… แก้อย่างไร?
- เช็คสาเหตุตาม 11 ข้อกันก่อน แล้วให้ลด เลี่ยง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อลดอาการ
- ไม่ควรเกา เพราะการเกาหนักขึ้นอาจทำให้เกิดแผลถลอกและติดเชื้อ
- อย่าปล่อยให้บริเวณทวารหนักเปียกและอับชื้น
- พยายามปรับการกินของตัวเอง เน้นผักผลไม้ เพื่อเลี่ยงอาการท้องผูก
- ลดอาหารรสจัดไปก่อน
- อย่าใช้สิ่งแปลกปลอมที่อาจนำไปสู่อาการระคายเคืองบริเวณดังกล่าว
ด้วยตัวอาการ “คันก้น” จะไม่ใช่อาการร้ายแรงแต่ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงได้ ดังนั้น เมื่อเพื่อนๆ พบว่าตัวเองมีอาการดังกล่าว ให้เริ่มเช็คสุขอนามัยของตัวเองก่อน และให้พบแพทย์เมื่อมีอาการหนักขึ้นจนส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีเลือดไหลออกมา รวมทั้งพบว่าตัวเองเริ่มเป็นแผลเรื้อรังไม่หายด้วยนะครับ