“โรคไต” เป็นคำกว้าง ๆ ที่บ่งชี้ถึงการมีความผิดปกติที่บริเวณไตข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง ซึ่งโรคไตเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากระบบการทำงานของไตผิดปกติ ทำให้ไตไม่สามารถขับของเสียหรือรักษาความสมดุลของเกลือและน้ำในร่างกายได้ ที่น่ากลัวคือ ปัจจุบัน คนไทยป่วยด้วยโรคไตเรื้อรังประมาณ 8 ล้านคน
โรคไตมีสาเหตุหลายอย่าง ได้แก่ โรคซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไต (polycystic kidney disease) โรคที่ทำให้เกิดการอักเสบของไต (glomerulonephritis) โรคที่เกิดจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะเช่นจากนิ่ว และที่สำคัญคือโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีรสเค็มจัด หวานจัดเป็นประจำ ทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ความเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน โรคความดันโลหิตสูง และเกิดโรคเบาหวานตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่พบบ่อยที่สุด
สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็นโรคไต มีดังนี้
- อาการทางระบบปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด, ปัสสาวะแสบขัดหรือปัสสาวะลำบาก, ปัสสาวะมีฟอง, ปัสสาวะมีกรวด/ ทรายออกมา, ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ
- อาการของภาวะโรคไตเรื้อรัง เช่น มีอาการบวมในร่างกาย, คันตามตัว/ คลื่นไส้อาเจียนเบื่ออาหาร/ ภาวะโลหิตจาง
- อาการอื่น ๆ เช่น ปวดเอว, ความดันโลหิตสูงมากผิดปกติ
วิธีการดูแล “ไต” และป้องกันการเกิด “โรคไต”
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้สดเพื่อเสริมสร้างวิตามินและธาตุต่าง ๆ โดยลดการรับประทานเนื้อแดง อาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่สามารถทำให้เกิดโรคไตเสื่อมเรื้อรัง
- ลดการรับประทานอาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อ อาหารกระป๋อง เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมากโดยไม่รู้ตัว
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้ไตสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งผลดีต่อความดันโลหิตและความดันภายในไต
- ควบคุมน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วน
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เนื่องจากมีสารพิษต่อไตโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดและแก้อักเสบเกินความจำเป็น เนื่องจากอาจจะส่งผลเสียต่อการทำงานของไต ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตได้ลดลง
- รับการตรวจสุขภาพประจำปี
อย่างไรก็ตาม หากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป ยิ่งตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ ยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้เร็ววัน